วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

The Boy In The Striped Pajamas (2008) : เด็กชายในชุดนอนลายทาง

The Boy In The Striped Pajamas (2008)
เรท PG-13 ความยาว 94 นาที ประเภท : Drama | History | War
ผู้กำกับ : Mark Herman
บทประพันธ์ : John Boyne (นวนิยาย),Mark Herman(เขียนบท)
ดารานำแสดง : Asa Butterfield,David thewlis,Rupert Friend และ Vera Farmiga
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศ 2 รางวัล & ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล 5 รางวัล รายละเอียด
---
วัยเยาว์เป็นวัยที่สวยงาม เพราะเหมือนผ้าขาวสะอาด พวกเขาไม่เคยแบ่งแยกแยกชนชั้น พวกเขาไม่เคยมีความคิดเกลียดชังและอยากทำร้ายกัน พวกเขาไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในการสร้างความสัมพันธ์ และที่สำคัญพวกเขาไม่มีความคิดที่จะทำสงครามเหมือนผู้ใหญ่ แต่สงครามก็ทำให้เด็กผู้บริสุทธิ์กลายเป็นเหยื่อรับเคราะห์แทน โดยไม่เว้นว่าจะเป็นฝ่ายไหน ดังเรื่องราวของเด็กชาย 2 คนในหนังเรื่องนี้

Biutiful (2010) : ชีวิตสวยด้วยใจแกร่ง

-
Biutiful (2010)
หนังเสปน (
Spain : Biutiful )
เรต :R เวลาฉาย : 148 นาที ประเภท: Drama
ผู้กำกับ :Alejandro González Iñárritu
ดารานำแสดง :Javier Bardem, Maricel Álvarez และ Hanaa Bouchaib
รางวัล และการเข้าชิง :Nominated for 2 Oscars. Another 11 wins & 32 nomination

--
ช่วง หลังๆ รสนิยมการดูหนังของฉันแปลกไปจนสังเกตได้ ฉันชอบดูหนังดราม่าหนักๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันต้องการหลบหลีกหนีจากปัญหาชีวิตของตัวเอง หรือว่า ต้องการพลังใจจากหนังมาช่วยให้เอาชนะปัญหาของตัวเองก็ไม่ทราบได้ แต่อย่างน้อยทุกครั้งที่ดูหนังเหล่านี้ ฉันรู้สึกดี และรู้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตของคนเรามันไม่ได้ง่าย ไม่ได้สวยงามด้วยตัวมันเอง แต่ว่าเราต่างหากล่ะ ที่จะเ็ป็นคนรังสรรค์ภาพชีวิตของเราว่าจะให้เป็นแบบไหน

หนังเรื่องนี้เริ่มต้นก็สะกดคำว่า beautiful ผิดเสียแล้ว ซึ่งมาจากการที่ลูกชายของอักซ์บาลเขียนคำว่า beautiful ผิด ซึ่งอาจจะมีนัยยะที่ชี้ให้เราเห็นว่า จริงๆ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ มันไม่ได้สวยงามถูกต้องเพราะใครบอกหรอก แต่มันสวยงามได้จากตัวเราเอง

In a Better World (2010) : ชัยชนะไม่อาจเกิดจากการใช้กำลัง

In a Better World (2010)
หนังเดนมาร์ก (
Denmark :Hævnen -original title)
R 119 min - Drama | Thriller
ผู้กำกับ : Susanne Bier
ดารานำแสดง :Mikael Persbrandt, Trine Dyrholm และ Markus Rygaard

--
และแล้วก็ได้ดูหนังเรื่องนี้เสียที หลังจากที่รับรู้มานานว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง ขณะดูก็พยายามไม่คาดหวังมากนัก เพราะรู้ดีว่า ความคาดหวังจะเป็นตัวทำลายอรรถรสในการชมที่ร้ายแรงที่สุด

In a Better World  เป็นเรื่องราวเของเด็ก 2 คนที่มาจากครอบครัวไม่สมบูรณ์คล้ายๆกัน สิ่งที่แตกต่างกันคือการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดู ที่จริงแล้วการกระทำของเด็ก 2 คนนี้ที่เป็นตัวดำเนินเรื่องนั้นล้วนแต่มาจากผลกระทบมาจากครอบครัวเป็นหลัก นั่นเอง

House of Sand and Fog (2003) : เพราะบางความฝันก็แบ่งปันกันไม่ได้


House of Sand and Fog (2003)
R 126 min - Drama
ผู้กำกับ :Vadim PerelmanPerelman
ดารานำแสดง : Jennifer Connelly, Ben Kingsley และ Ron Eldard
เกร็ด : สร้างจากจากนวนิยายขายดีติดอันดับ 1 ของอเมริกาของ Andre Dubus ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1999

---

คนเราทุกคนล้วนแต่มีความฝันกันในชีวิตทั้งสิ้นซึ่งก็แตกต่างกันไป มันจะไม่แปลกเลย และจะดำเนินไปได้อย่างดีถ้าเส้นทางความฝันนั้นไม่ไปทับล้ำเส้นกับความฝันของใคร เพราะมันจะเกิดเหตุการณ์ที่เกินความคาดหมายอีกมากมาย เหมือนชีวิตของคน 2 คนในหนังเรื่องนี้

Be with You (2004) : เธอจะกลับมาในหน้าฝน

Be with You (2004)
หนังญี่ปุ่น (Japan : Ima, ai ni yukimasu - Original title)

119 min - Drama | Fantasy | Romance
ผู้กำกับ :Nobuhiro Doi
งานเขียนของนักเขียนนวนิยาย Takuji Ichikawa (novel)
เขียนบทโดย Yoshikazu Okada
ดารานำแสดง :Yûko Takeuchi, Shidô Nakamura และ Akashi Takei 


---
หนังเรื่องนี้ซื้อเก็บไว้นานมากๆ สมัยยังเป็น VCD อยู่เลย แต่คิด (ไปเอง) ว่ามันต้องเศร้ามากๆ แน่ๆ เลยไม่อยากจะหยิบมาดู :P ตอนนี้ฤดูฝนที่ฝนตกพรำๆ ทุกวัน บรรยากาศรอบตัวล้วนเป็นสีเทาๆ ชวนหดหู่เป็นที่สุด ก็เลยคิดว่า มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ ตัดสินใจหยิบมานั่งดู

Be with You เป็นภาพยนต์ญี่ปุ่นที่สร้างจากนวนิยายขายดีเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ ทาคูมิ (Shidô Nakamura) ผู้ซึ่งมีโรคประจำตัวที่เรียกว่า “Vasculo-Beche's disease” ไม่สามารถอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆได้ ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ กับลูกชายเพียง 2 คน เพราะภรรยาคือ มิโอะ (Yûko Takeuchi) ได้ลาโลกไปก่อน

The Girl with Dragon Tattoo(2009) : หญิงสาวผู้มีรอยสักรูปมังกร


The Girl with the Dragon Tattoo (2009)
หนังสวีเดน (
Sweden:Män som hatar kvinnor -original title)
เรต : R ความยาว : 152 นาที ประเภท : Crime | Drama | Mystery
ผู้กำกับ :Niels Arden Oplev
บทประพันธ์/เขียนบท : Nikolaj Arcel,Rasmus Heisterberg,Stieg Larsson (นวนิยาย)
ดารานำแสดง : Michael Nyqvist,Noomi Rapace และ Ewa Froling
--

ฉัน ได้ยินเกี่ยวกับกิตติศัพท์ความสนุกของหนังเรื่องนี้มานาน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดูสักที เพิ่งจะมีโอกาสได้ดูก็วันนี้เอง และก็สมกับคำร่ำลือ

The Girl with the Dragon Tattoo เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ไตรภาคของชุด The Millennium Trilogy ที่มีอีกสองภาคชื่อ The Girl Who Played with Fire และ The Girl Who Kicked the Hornet's Nest ซึ่งฉันได้ดูติดต่อกันทั้ง 3 ภาคแล้วตัดสินว่า ภาคแรกสนุกที่สุด

Harold and Maude (1971): เห็นจะเป็นเพราะรัก


Harold and Maude (1971)
PG 91 min - Comedy | Romance
ผู้กำกับ :Hal Ashby
เีขียนบท : Colin Higgins
ดารานำแสดง :Ruth Gordon, Bud Cort และ Vivian Pickles

--
ใคร จะเชื่อว่าชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ จะหลงรักหญิงชราวัย 79 ได้ แต่หนังเรื่องนี้สามารถทำให้เราเชื่อได้ ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้าคุณได้รู้จักกับทั้งคู่แล้วคุณรักพวกเขาอย่างที่ฉันรัก :)

Harold and Maude เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ ฮาโรลด์ (Bud Cort) เขาเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ว่าขาดแคลนความรัก เขามีชีวิตที่หดหู่ซึมเซา จึงแสดงออกด้วยการแกล้งตายที่เรียกได้สมจริงสมจังมากชนิดนักแสดงมืออาชีพยัง อาย แต่ทว่าก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากมารดาได้

The Painted Veil(2006) : การให้อภัยที่แลกมาด้วยราคาแสนแพง

The Painted Veil (2006)
PG_13 125 min - Drama | Romance
ผู้กำกับ:John Curran
บทประพันธ์:W. Somerset Maugham
เขียนบท :Ron Nyswaner
ดารานำแสดง :Naomi Watts, Edward Norton และ Liev Schreiber
รางวัลที่ได้รับ : ดูรายละเอียด

--
บาง ครั้งระยะทางที่ไกลที่สุด คือ ระยะห่างระหว่างหัวใจของคนสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจที่เคยรักและถูกตอบแทนด้วยการทรยศมาก่อน ถ้าหากเป็นคุณ จะสามารถให้อภัยกับคนที่เคยรักได้ไหมถ้าเขาตอบแทนความรักที่มีให้ด้วยการนอก ใจ ... นี่คือเรื่องราวของคู่รักในหนังเรื่องนี้

The Painted Veil เป็นเรื่องราวของนายแพทย์หนุ่มวอลล์เตอร์ (Edward Norton) เขาตกหลุมรักหญิงสาวชาวลอนดอนแสนสวย คิตตี้ (Naomi Watts) เมื่อรู้ว่าจะต้องเดินทางไกลไปอยู่ประเทศจีนเพื่อรักษาผู้ป่วยในเวลาอันใกล้ จึงได้เอ่ยปากขอแต่งงานกับเธอ

คิตตี้นั้นยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่แน่ ใจตัวเอง แต่ตกปากรับคำแต่งงานไปเพราะทางครอบครัวสนับสนุน และตัวเธอเองต้องการจะมีอิสระพ้นจากปกครองของพ่อแม่เสียที แต่เมื่อแต่งงานไปแล้วถึงได้รู้ว่า บางครั้งชีวิตแต่งงานมันก็น่าเบื่อ โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่กับวอลล์เตอร์ผู้เคร่งขรึม พูดน้อย มีหลายครั้งที่เธออดจะเหน็บแนมเขาไม่ได้ว่า "ถ้าคนเราต้องพูดเฉพาะเวลามีเรื่องพูดเท่านั้น คนทั้งโลกคงเป็นใบ้กันหมดแล้วล่ะ" เมื่อเขาบอกว่า "ผมก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ ไม่รู้จะพูดอะไรในเมื่อมันไม่มีอะไรจะพูด"

ถ้าเป็นสมัยนี้คิตตี้คง จะบอกวอลล์เตอร์ว่า "เธอมันดีเกินไป" เพราะด้วยความเบื่อหน่ายกับสภาวะนี้เมื่อได้รู้จักกับชาร์ลี (Liev Schreiber) สามีของเพื่อนซึ่งคารมดี อารมณ์ขัน และมีเสน่ห์ ทำให้เธอเผลอใจไปมีความสัมพันธ์ด้วย และโชคร้ายที่วอลล์เตอร์สามีเธอก็รู้เรื่องนี้.. เขาขอหย่ากับเธอ

ชาร์ ลีนั้นไม่คิดจริงจังกับเธออยู่แล้ว ดังนั้นคิตตี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องติดตามสามีไปประเทศจีนด้วยการ เดินทางที่แสนยากลำบาก ช่วงเวลาที่อยู่เมืองจีนด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่แสนทรมานสำหรับคิตตี้ แม้ธรรมชาติรอบตัวจะสวยงามราวภาพวาด แต่การเฉยเมย เย็นชาที่สามีมีต่อเธอนั้นต่างหากที่ทำให้เธอทุกข์ทรมาน .. จนคราหนึ่งเธอทนไม่ไหวตะโกนถามเขาว่า "คุณจะลงโทษฉันไปถึงไหน" และคำตอบที่ได้รับถึงกับทำให้เธออึ้งไป "ผมไม่ได้ลงโทษคุณ ผมลงโทษตัวเองที่ปล่อยใจให้ตกหลุมรักคุณในครั้งนั้น"

ช่วง ที่วอลล์เตอร์ทำงานที่นี่เขาต้องพบกับความยากลำบากนานับประการ ด้วยว่าประชากรจำนวนมากของที่นี่ล้วนขาดแคลนหมอ และยา นอกจากนั้นพวกเขายังอยู่ภายใต้การระบาดของไข้อหิวาต์ คิตตี้เองพยายามทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยการดูแลเด็กๆกับเหล่าแม่ชี และช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้เองที่เป็นเสมือนกาวเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ให้กลับมาดีดังเดิม

.. แต่น่าเศร้าที่เมื่อได้ความรักคืนมา กลับต้องแลกกับบางสิ่งที่สำคัญไปแทน เขาถึงว่าทุกสิ่งมีราคาของมันเสมอ ไม่เว้นแม้ความรักและการให้อภัย

หนังเรื่องนี้ดำเินินเรื่องอย่างราบ เรียบ แต่คมคายด้วยบทสนทนา และการแสดงอารมณ์ที่มีพลังของดารานำทั้งสองทำให้เรื่องราวความรักในหนังดูสม จริง ฉันดูไปกดดันไปกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และถึงกับหลั่งน้ำตาในฉากท้ายๆเรื่องเมื่อปล่อยอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร

สำหรับ ความเห็นของฉันที่มีต่อหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นหนังรักที่ตราตรึงใจอีกเรื่องหนึ่งทีเดียว ฉันคิดว่าการให้อภัยแก่คนที่เรารักและวางใจเป็นสิ่งที่ทำยากก็จริง แต่ที่ยากกว่าคือการให้อภัยตัวเอง เพราะการอภัยจากการกล่าวโทษตัวเองนั้นเป็นการปลดปล่อยทั้งผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ ให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่เรานำมาครอบตัวและหัวใจเราเอง..

♥ ♥ ♥ ♥ ♥ 
The Painted Veil - Movie Trailer
 

Dangerous Beauty (1998) : แรงปรารถนาเริ่มต้นที่ใจ


Dangerous Beauty (1998)
เรท :R ความยาว :111 นาที ประเภท : Biography | Drama | Romance
ผู้กำกับ: Marshall Herskovitz
บทประพันธ์/เขียนบท :Margaret Rosenthal (นวนิยาย), Jeannine Dominy
ดารานำแสดง :Catherine McCormack, Rufus Sewell,Naomi Wattsและ Oliver Platt

---
ตอนแรกที่เจอหนังเรื่องนี้ ฉันคิดว่าเป็นหนังเนื้อเรื่องน้ำเน่าธรรมดา แต่ IMDb ให้คะแนนตั้ง 7.00 ซึ่งไม่ธรรมดาสำหรับหนังแนวนี้ เลยดูไปเรื่อยเผลอแปบเดียวจบถึงได้รู้ว่า หนังเรื่องนี้ "มีดี" มากกว่าหุ่นสวยๆ ของนางเอก 5555

หนังสร้างจากชีวิตของ Veronica Franco ที่มีตัวตนจริงๆ เธอเกิดใน 1546 และตายใน 1591 เมื่ออายุ 45 ปี เธอเป็นโสเภณีที่มีชื่อเสียงที่สุดในอิตาลี นอกจากนั้นยังมีชื่อเสียงในเรื่องการเขียนบทกวี ซึ่งมีเนื้อหาเสียดสีสังคมอีกด้วย

---
Dangerous Beauty เป็นเรื่องของหญิงสาวที่เกิดมาอย่างไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในสังคม มีชีวิตต้องผูกติดกับประเพณีในยุคนั้นที่มีค่านิยมกดผู้หญิงให้ต่ำกว่าชาย แต่เธอมีความกล้าหาญที่จะทำตามหัวใจของเธอเอง จนได้รับการยอมรับในที่สุดแม้ว่ากว่าจะถึงวันนั้น ชีวิตก็ทารุณต่อเธออย่างสาหัญสากรรจ์

The Heart Of Me (2002) : หัวใจฉัน หัวใจเขา หัวใจเธอ


The Heart of Me (2002)
เรต : R เวลาฉาย : 96 นาที ประเภท : Drama | Romance
ผู้กำกับ :Thaddeus O'Sullivan
บทประพันธ์ /เขียนบท :Rosamond Lehmann (นวนิยาย), Lucinda Coxon
ดารานำแสดง : Helena Bonham Carter, Olivia Williams และ Paul Bettany
รางวัลที่ได้รับ :
1. ชนะเลิศรางวัล British Independent Film Award ประเภท Best Actress - Olivia Williams ในงาน British Independent Film Awards 2003
2. ชนะเลิศรางวัล Evening Standard British Film Award ประเภท Best Actor-Paul Bettany ในงาน Evening Standard British Film Awards 2004

--
ความ รัก และความปรารถนา เป็นสิ่งผลักดันในทางบวกที่ดีกับชีวิต แต่บางครั้งแรงปรารถนาบางอย่างกับบางคนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังที่จะเลือกเสพ ดังเช่นชีวิตรักชายหนุ่มกับหญิงสาวในภาพยนต์เรื่องนี้ ที่แรงปรารถนาเป็นตัวนำพาพวกเขาเข้าหากันอย่างแนบชิด .. แต่ความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันกลับฉุดกระชากให้พวกเขาต้องแยกจากกันนิรันดร์ เพราะความรักนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่ถูกต้อง

The Heart of me เป็นภาพยนต์อังกฤษ เรื่องราวจึงเกิดขึ้นที่ลอนดอนในปี 1930 ซึ่งเป็นภาวะก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีพี่น้องสองสาวที่สวยงามไม่แพ้กัน แต่ว่ากลับมีอุปนิสัยวาจาท่าทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมดิลีน (Olivia Williams) ผู้พี่นั้น สวยสง่า และเป็นสาวสังคมที่เนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว เธอแต่งงานแล้วกับชายหนุ่มนักธุรกิจหล่อ ริกกี้ ((Paul Bettany) ทั้งคู่มีบุตรชาย 1 คน ส่วนน้องสาวของเธอ คือ ไดน่า ((Helena Bonham Carter)เป็นหญิงสาวอารมณ์อ่อนไหว ไดน่าเป็นจิตรกร ที่มีบุคลิกรักอิสระ ร่าเริงแจ่มใส เป็นตัวของตัวเอง ทั้งสองพี่น้อง และริกกี้ผู้เป็นพี่เขยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังใหญ่หรูหราด้วยกัน

แม้ ว่าเมดิลีนจะพยายามหาชายหนุ่มในสังคมหรูที่มีประวัติดี ฐานะดี เพื่อจับคู่ให้กับน้องสาว และสำเร็จจนพวกเขาได้ประกาศหมั้นกันในงานสังคมในคืนหนึ่ง แต่นั่นกลายเป็นชนวนที่ทำให้เรื่องราวรักสามเส้าในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะริกกี้นั้นแอบหลงไหลความร่าเริงมีเสน่ห์ของไดน่ามาก่อนหน้านี้แ้ล้ว

เมื่อ ได้รู้ว่าเธอจะหมั้นเขาจึงกล้าที่จะเข้าไปบอกให้เธอยกเลิกเสีย และเผยความในใจออกไป ซึ่งตรงกับใจของสาวน้อยอยู่แล้ว และในคืนวันปีใหม่ที่คนทั้งเมืองกำลังเพลิดเพลินกับพลุบนฟ้า นับเวลาถอยหลังกันอย่างสนุกสนานนั้นเอง พวกเขาแอบมีความสัมพันธุ์ลึกซึ้งกัน...

เป็นธรรมดาว่าผู้หญิงเรามัก จะมีสัญชาตญาณไวในเรื่องเหล่านี้ เมดิลีนก็เช่นกัน แม้เธอจะรู้สึกอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มั่นใจนักจึงปล่อยความวิตกกังวลไว้ในใจ และดำเนินชีวิตไปตามปกติ โดยทั้งไดน่ากับริกกี้ยังคงลักลอบมีความสัมพันธ์กันโดยเช่าอพาร์ทเม้นท์หลัง หนึ่งไว้เป็นรังรัก

ราวกับว่าการกระทำที่ไม่ถูกต้องนี้ต้องถึงเวลาชด ใช้ ไม่นานไดน่าก็ค้นพบว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งเมื่อเรื่องราวถึงหูพี่สาว ความสัมพันธ์ของพี่น้องก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่พวกเขาทั้ง 3 ยังต้องผ่านเรื่องราวอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ผ่านความสัมพันธ์ที่เชื่อม โยงกัน

ริกกี้และไดน่า ความรักของพวกเขาจะเพียงพอหรือไม่ที่จะนำพานาวาชีวิตนี้ให้ลอยล่องไปได้ อย่างที่ใจปรารถนา และสำหรับไดน่ากับเมดิลีนนั้น ท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดยังเข้มข้นพอไหมที่จะสามารถให้ อภัยกัน ในช่วงหลังของเรื่องจะนำพาเราเข้าสู่บทชีิวิตของพวกเขา 3 คน

ใน ความเห็นของฉันโดยตัวบทของหนังนั้นที่จริงแล้วเรียบมาก สมกับสร้างจากนวนิยายรักๆ ใคร่ๆ เรื่องหนึ่ง (เรียกภาษาชาวบ้านคือ นิยายน้ำเน่านั่นแหล่ะ :P) แต่ที่หนังเรื่องนี้มีความพิเศษคือ การได้ดารานำทั้ง 3 มาแสดง ที่มีฝีมือเยี่ยมๆ และบทละครที่มีมิติ และมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่แรกจนถึงจบ จึงถึงว่าเป็นละครน้ำเน่าที่ทำออกมาแล้วดูดีทีเดียว เป็นหนังที่ดูแล้วสนุก ดูเพลินอย่างยิ่ง

(ที่จริงวัตถุประสงค์การชมของฉัน คือ กำลังขุดงานของ เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์มาดูให้ครบน่ะ แต่กลายเป็นว่าผลพลอยได้คือรู้สึกว่า พอล เบธธานี่ หล่อมากในหนังเรื่องนี้ พลอยชอบเขาไปด้วยเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เฉยๆ )ถ้าพูดถึงฝีมือการแสดงของเฮเลน่าในเรื่องนี้นั้น มีเสน่ห์อย่างมาก ที่ขนาดเมื่อเธอร้องไห้ ก็อดทำให้เราแอบน้ำตารื้นไปกับเธอด้วยความสงสาร .. อ่อ เรื่องนี้เธอเปลืองตัวนิดนึงนะ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่า ที่จริงสาวเพี้ยนๆอย่างเธอก็เซ็กซี่เหมือนกันเนอะ :P

ดูหนังจบนึกถึง ประโยคที่ว่า "ทุกๆความสุขที่เราได้เสพ ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น" หนังเรื่องนี้อธิบายคำกล่าวนี้ได้อย่างดี เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี โดยเฉพาะถ้าหากว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมด้วยแล้วละก็ ราคาที่ต้องจ่ายบางครั้งแพงขนาดอาจจะต้องจ่ายด้วยความทุกข์ใจไปทั้งชีวิตเลย ก็ได้ ...


--- The Heart Of Me (2002) : Movie Trailer

The Brest Fortress (2010) : ภารกิจป้องกันป้อมปราการจากนาซี


The Brest Fortress (2010)
หนังรัสเซีย (ฺ
Russia : Brestskaya krepost-Original title)
138 min - Action | Drama | War
ผู้กำกับ :Alexander Kott
เีขียนบท: Igor Ugolnikov (โครงเรื่อง), Vladimir Yeryomin
ดารานำแสดง :Andrey Merzlikin, Pavel Derevyanko และ Veronika Nikonova
รางวัลที่ได้รับ :
1.ชนะรางวัล Best Costume Designer,Best Production Designer,Best Sound ในการประกวด Nika Awards 2011
--

The Brest Fortress (2010)เป็นภาพยนต์รัสเซียที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของความกล้าหาญของทหาร รัสเซียในการป้องกันป้อมปราการ Brest ในกรุงเบลารุสเมื่อปี 1941 จากการรุกรานของทหารเยอรมัน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นภาพยนต์ที่ดีที่สุดเกี่ยวกับ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เราได้เคยดู   สำหรับ Imdb นั้นให้คะแนนอยู่ที่ 7.5 ซึ่งก็ถือว่าเป็นคะแนนในเกรดหนังคุณภาพเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ แม้ว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะไม่ได้เผยแพร่ในวงกว้างมากมายนัก


สำหรับคนที่สนใจภาพยนต์เกี่ยวกับสงคราม โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ 2 ฉันขอแนะนำว่า คุณไม่ควรจะพลาดหนังเรื่องนี้ เพราะจะทำให้มุมมองของคุณที่มีต่อสงครามโลกกว้างไกลมากขึ้น ฉันเชื่อว่าเมื่อดูหนังเรือ่งนี้จบ คุณจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน ขอการันตรี

The White Massai (2005) : เธอรัก เธอหลง หรือว่า เธอหลงทางรัก?


The White Massai (2005)
หนังเยอรมัน (
German : Die weisse Massai -Original title)
เวลาฉาย :131 นาที ประเภท : Drama | Romance
ผู้กำกับ : Hermine Huntgeburth
บทประพันธ์/เขีียนบท :
Corinne Hofmann (นวนิยาย), Johannes W. Betz (เขียนบท)
ดารานำแสดง :Nina Hoss, Jacky Ido และ Katja Flint
รางวัลที่ได้รับ :ชนะรางวัลประเภท Best Actress:Nina Hoss ในการประกวด Bavarian Film Awards 2006
--
ความ รัก และความหลง ใกล้เคียงกันชนิดบางครั้งคุณก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่คุณกำลังเป็นอยู่ คืออารมณ์ชนิดไหนกันแน่ แต่ที่รู้ๆคือ ความรักนั้นก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคง แต่ขณะเดียวกันความหลงจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และมีพลังรุนแรงที่ผลักดันชีวิตคุณให้เปลี่ยนได้อย่างคาดไม่ถึง แต่มันเกิดและหมดได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

ภาพยนต์เยอรมัน เรื่องนี้สร้างจากหนังสือนวนิยายเรื่อง "The white Masai" ของ Corinne Hofmann ซึ่งถ่ายทอดจากชีวิตจริงของเธอเอง โดยเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ของคนสองคนที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้น เชิงในแทบจะทุกด้าน แน่นอนว่ามุมมองของความสัมพันธ์นี้ย่อมมาจากทางฝ่ายหญิงในการเล่าเรื่องถึง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

The White Massai ดำเนินเรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อหญิงสาวชาวสวิสโคโลร่า ( Nina Hoss) กับสเตฟาน แฟนหนุ่มที่คบกันมาถึง 2 ปีเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศเคนย่า ในวันสุดท้ายของทริปนี้ เธอและแฟนหนุ่มตกอยู่ในภาวะคับขันทั้งตกรถ และโดนชนพื้นเมืองดักรุมจี้ แต่โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากหนุ่มนักรบเผ่ามาไซชื่อ เลมาเรียน (Jacky Ido) กับเพื่อนช่วยเหลือไว้

A Woman in Berlin (2008) : สงครามสงบ แต่บางสิ่งที่เลวร้ายกว่าเพิ่งจะเริ่มต้น


A Woman in Berlin (2008)
หนังเยอรมัน (Germany:Anonyma -Eine Frau in Berin-Original title)
ไม่มีเรท  ความยาว :131 นาที ประเภท:  Drama | History | War
ผู้กำกับ :Max Färberböck
บทประพันธ์/เขียนบท : Max Färberböck, Catharina Schuchmann
ดารานำแสดง :Nina Hoss, Evgeniy Sidikhin และ Irm Hermann
รางวัลที่ได้รับ: ชนะเลิศรางวัลประเภท Best International Feature ในงานประกวด Santa Barbara International Film Festival 2009
--

ภาพยนต์เรื่องนี้สร้างจากไดอารี่ของหญิงชาว เยอรมัน Marta Hillers (1911--2001) ที่ถูกค้นพบหลังจากเธอเสียชีวิตได้ 2 ปี มาร์ธาเป็นนักหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ทำงานในยุคนาซี โดยบางช่วงก็ได้ทำหน้าที่เขียนใบปลิวเชิญชวนเยาวชนให้เข้าร่วมเป็นทหารด้วย แม้กระนั้นเธอก็ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแต่อย่างใด

A woman in Berlin เป็นเรื่องราวของหญิงสาวนิรนามอายุประมาณ 30 ปีชาวเยอรมัน (Nina Hoss) เธอได้จดบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในเหตุการณ์ต่างๆ ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อทหารรัสเซียรุกเข้ามาในกรุงเบอร์ลินช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1945 หลังจากสงครามโลกสงบได้เพียง 1 วัน

The Young Victoria (2009) : ความรักที่ยิ่งใหญ่ของราชินีวิคตอเรีย


The Young Victoria (2009)
เรต :PG ความยาว : 105 นาที ประเภท : Biography | Drama | History
ผู้กำกับ :Jean-Marc Vallée
บทประพันธ์/เขียนบท :
Julian Fellower
ดารานำแสดง : Emily Blunt , Rupert Friend และ Paul Bettany
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 12 รางวัล & ชนะเลิศ 9 รางวัล ดูรายละเอียด

เกร็ดความรู้ : สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชินีอังกฤษในช่วงระหว่าง 20 มิถุนายน ค.ศ. 1837 - 22 มกราคม 1901 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ (63ปี) และทรงมีสายพระโลหิตสืบทอดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ทั่วยุโรป
credit : wikipedia.org


--

ฉันมีแผ่นหนังเรื่องนี้เก็บไว้นานแล้ว แต่ดูครั้งแรกขอสารภาพว่าดูไม่จบ เลยทิ้งมันไว้อย่างนั้น ไม่รู้ว่าใครเป็นเหมือนฉันหรือเปล่าที่ว่า หนังบางเรื่องต้องรอ เวลา+อารมณ์ ในการดู ถึงจะได้อรรถรสของหนังเรื่องนั้นอย่างเต็มที่ เหมือนดังที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วเกิด "อิน" ในครั้งที่สอง

The Young Victoria เป็นเรื่องราวในยุควิคตอเรีย ภาพยนต์ถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ชีวิตคู่ของราชินีวิคตอเรีย (Emily Blunt) กับพระสวามี เจ้าชายอัลเบิร์ต (Rupert Friend) ที่ทำออกมาได้ละเอียดอ่อน โรแมนติก สวยงาม

The Duchess (2008) : พิศวาส อำนาจ และความรักที่มาช้าเกินไป


The Duchess (2008)เรท : PG13 ความยาว 110 นาที  ประเภท : Biography | Drama |History

ผู้กำกับ : Saul Dibb
บทประพันธ์/เขียนบท : Jeffrey Hatcher , Anders Thomas Jensen
ดารานำแสดง : Keira Knightley,Ralph Fiennes และ Dominic Cooper
รางวัลที่ได้รับ : เสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 16 รางวัล & ชนะเลิศ 4 รางวัล ดูรายละเอียด


---

ฉันดูเรื่องนี้ในวันนี้เป็นครั้งที่ 2 เพราะครั้งแรกดูแล้วหลับ ทำให้ดูไม่จบ 555 ระยะเวลาการดูจากครั้งแรกห่างกันนานถึง 2-3 ปี ซึ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันจากการชมครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง อาจเพราะวันเวลาทำให้ฉันเติบโตขึ้นจนสามารถเข้าใจสภาวะของตัวละครที่กำลังประสบอยู่ก็เป็นได้

The Duchess เป็นภาพยนต์ที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องชีวิตจริงของสตรีชั้นสูงของอังกฤษ หนังเล่าเรื่องราวว่าเกิดขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่สิบแปดของอังกฤษ ตัวเอกคือ จอร์เจียนา สเปนเซอร์(Keira Knightley) สาวน้อยผู้สดสวยงดงาม เธอได้แต่งงานกับดยุค (Ralph Fiennes)ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อม่ายเมียตาย ด้วยความเห็นชอบจากมารดาคือ เลดี้สเปนเซอร์ (Charlotte Rampling) ผู้สูงศักดิ์

Love in the Time of Cholera (2007) : คุณจะรอคนที่คุณรักได้ยาวนานขนาดไหน?


Love in the Time of Cholera (2007)
เรท : R ความยาว : 139 นาที ประเภท: Drama | Romance
ผู้กำกับ : Mike Newell

บทประพันธ์ : Ronald Harwood (เขียนบท) ,Gabriel Garcia Marquez (นวนิยาย)
ดารานำแสดง : Javier Bardem,Giovanna Mezzogiorno และ Benjamin Bratt


--
"คุณรอคนที่รักได้นานแค่ไหน ? คงมีคำตอบที่ออกมาได้หลายแนว ขึ้นอยู่กับว่าถามใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบที่สวยหรูขนาดไหนก็ต้องดูกันยาวๆ ผ่านกาลเวลาถึงจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงแค่ไหน เหมือนเรื่องราวในภาพยนต์เรื่องนี้

Love In The Time Of Cholera เป็นหนังที่ถูกคาดหวังไว้เยอะ เพราะว่าสร้างจากนวนิยายภาษาสเปนระดับรางวัลโนเบล ที่มีชื่อว่า El Amor en los Tiempos de Colera ซึ่งแต่งโดย กาเบรียล การ์เซีย มาเกซ ( Gabriel García Márquez )นักเขียนชาวโคลัมเบีย อันเป็นนวนิยายที่ดีมากจนเป็นที่กล่าวถึงกันกว้างขวางถึงขนาดถูกรวมให้เป็นหนึ่งในหนังสือ 100 เล่มที่ต้องอ่านก่อนตายทีเดียว เมื่อดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ ก็ได้มือเขียนบทระดับออสการ์โรนัลด์ ฮาร์วู้ด จาก Oliver Twist, Being Julia และ The Pianist ยังไม่พอยังได้ผู้กำกับที่ถนัดหนังแนวนี้มากำักับอีกด้วย

หนังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโคลัมเบียหลังสงครามโลก เป็นเรื่องราวของชีวิตรักของหนุ่มน้อยเดินโทรเลขจนๆ ชื่อฟลอเรนติโน่ (Javier Bardem) กับสาวน้อยที่ชื่อเฟอมิน่า (Giovanna Mezzogiorno) ซึ่งเกิดในตระกูลที่มีฐานะ เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น จึงใช้วิธีเขียนจดหมายพร่ำพรรณนาเป็นบทกวีแสดงความรักที่มีต่อเธอ เมื่อบิดาของเฟอมิน่ารู้ได้ขัดขวางด้วยเห็นว่าทั้งสองมีฐานะต่างกันเกินไป และชี้ให้เฟอร์มิน่าเห็นว่า ความรักครั้งนี้เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

หลัง จากนั้นบิดาของเฟอร์มิน่าได้ขอให้เธอย้ายไปอยู่ต่างเมือง ในช่วงนี้เองที่เธอล้มป่วยลงด้วยโรคอหิวาต์ และได้พบกับดร. จูเวอนาล (Benjamin Bratt) นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอหิวาตกโรค จนได้แต่งงานกันในที่สุดด้วยความเห็นชอบของครอบครัว

วันเวลาล่วงเลย ไป เฟอร์มิน่ามีลูกชาย ลูกสาว กับดร.จูเวอนาลหลายคน และทั้งคู่อยู่ร่วมกันจนชรา ส่วนฟลอเรนติโน่นั้น ยังคงครองตัวเป็นโสดตลอดมา แม้จะยังรักและคิดถึงเฟอมิน่าอยู่เสมอและถึงจะมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ ทรมานจากความรักในอดีต แต่เขาก็บำบัดมันด้วยเซ็กส์ด้วยการเปลี่ยนคู่นอนราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมๆ ไปกับการเฝ้ารอวันที่ทั้งคู่จะได้มีโอกาสอยู่ร่วมกัน

ใช่แล้ว เขาเฝ้ารอคอยเป็นเวลา 51 ปี 9 เดือน 4 วันจนถึงวันที่สามีเธอเสียชีวิต ทันทีที่รู้ข่าว เขาติดต่อกลับมาหาเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธเขาเป็นรอบที่สองด้วยน้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยว ... ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะลงเอยกันได้ไหม บทสรุปของความรักที่รอคอยมายาวนานจะเป็นจบลงอย่างไรนั้น.. ต้องชมเองค่ะ :)

----

ฉัน ได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้จากเคเบิ้ลทีวี ในความรู้สึกแล้วคิดว่าหนังน่าจะำทำได้ดีกว่านี้ เพราะว่ามันไม่ได้ทำให้ฉันมีความรู้สึกร่วมไปกับความรักของพระเอกและนางเอก เลย ด้วยการแสดงออกของนางเอกที่มีต่อพระเอกนั้นดูเฉยชามาก อดถามตัวเองขณะชมไปด้วยไม่ได้ว่า เอ ตกลงเฟอร์มิน่ารักฟลอเรนติโน่หรือเปล่า มิหนำซ้ำฉันยังคิดไปอีกว่า ชีวิตคู่ของนางเอกกับคุณหมอนั้นก็ดูเข้าทีดี เต็มไปด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฉันว่าความรักไม่จำเป็นต้องหวือหวาตื่นเต้นเร้าใจหรอก แค่ให้มันสม่ำเสมอเท่านั้นแหล่ะที่จะทำให้ชชีวิตคู่อยู่ได้ยืนยาว ..

สำหรับ ตัวของพระเอกคือฟลอเรนติโน่เอง ก็แสดงความรักออกมาได้ไม่สมจริง มันออกแนวหลงไหลมากกว่าในช่วงที่ห่างกันไปก็ทำตัวเหลวแหลกซะ แถมยังพยายามจะกลับมาพบกับนางเอกตอนที่สามีเธอตายแล้วอีกตะหาก มันดูออกแนวไม่จริงใจอย่างไรก็ไม่รู้ในสายตาของฉัน

กลับมาที่คำถาม ตอนต้นที่ว่า "คุณรอคนที่รักได้นานขนาดไหน? ถ้าหากการรอนั้น เป็นการรอที่ไม่มีคุณภาพ แม้จะรอถึงตลอดชีวิตอย่างที่ฟลอเรนติโน่รอ ฉันก็คิดว่า เป็นการรอที่สูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง

---Love in the Time of Cholera (2007) : Movie Trailer


Taking Chance (2009) : ภารกิจพาวีรชนกลับบ้าน


Taking Chance (TV 2009)
ระยะเวลาฉาย : 77 นาที , ประเภท : Drama | War
ผู้กำักับ : Ross Katz

บทประพันธ์ : Michael Strobl (บทความ+เขียนบท)
ดารานำแสดง : Kevin Bacon,Tom Aldredge และ Nicholas Art
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับเสนอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ 19 รางวัล & ชนะเลิศ 5 รางวัล ดูรายละเอียด

--
ฉัน ไม่ได้ตั้งใจดูหนังเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่บังเอิญกดปุ่มรีโมทเคเบิลทีวีแล้วไปเจอภาพยนต์เรื่องนี้ในช่อง HBO ด้วยเหตุว่าพระเอกเป็นดาราที่ชื่นชอบอยู่เป็นทุนเดิม จึงหยุดดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร และไม่น่าเชื่อว่าหนังที่ดำเนินเรื่องแนวสารคดีชีวิตทหารแบบนี้จะสามารถดึง เวลาของฉันให้นั่งดูมันจนจบเรื่องได้

Taking Chance สร้างโดยเคเบิลทีวีช่อง HBO เพื่อฉายในช่องของตัวเอง เป็นเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา Lt.Col. Michael Strobl ซึ่งในเรื่องใช้ชื่อว่า ไมค์ (Kevin Bacon) ผู้รับอาสานำร่างนายทหารหนุ่มวัย 19 นามว่า PFC Chance Phelps ที่เสียชีวิตจากภารกิจสงครามอิรักกลับสู่บ้านเิกิด ซึ่งก็คือ Dubois, Wyoming อันเป็นถิ่นกำเนินของไมค์เช่นกัน และนั่นเป็นสาเหตุที่เขารับอาสาทำภารกิจนี้

Twelve Monkeys (1995) : ไวรัสล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ กับแก๊งลิง 12 ตัว


Twelve Monkeys (1995)
เรท : R ระยะเวลา : 129 นาที ประเภท : Mystery | Sci-Fi | Thriller
ผู้กำกับ : Terry Gilliam

บทประพันธ์/เขียนบท : Chris Marker ,David Webb Peoples
ดารานำแสดง : Bruce Willis , Madeleine Stowne และ Brad Pitt
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 8 รางวัล & ชนะเลิศ 10 รางวัล ดูรายละเีอียด

--

ฉัน เพิ่งได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้ทั้งๆที่เป็นหนังที่ดี และดังมากในอดีต เป็นหนังที่มีแนวคิดและพลอตเรื่องก้าวหน้าจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนังที่ ฉายเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เพราะว่าเราสามารถเห็นพลอตคล้ายๆ กันนี้ ในภาพยนต์สมัยนี้ได้อย่างกลาดเกลื่อน

Twelve Monkeys (1995) เป็นเรื่องราวที่่บอกเราว่าในอนาคตข้างหน้ามีที่ไวรัสทำลายล้างพันธุ์มนุษย์จนไม่สามารถอาศัยอยู่บนพื้นดินได้อีกต่อไป มนุษย์จำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสดังกล่าวต้องอพยพกันลงมาอาศัยอยู่ในเมืองที่สร้างอยู่ใต้ดิน

The Fighter (2010) : ใจสู้ซะอย่าง อะไรก็เป็นไปได้


The Fighter (2010)
เรท : R ความยาว : 116 min ประเภท : Biography | Drama | Sport
ผู้กำกับ : David O. Russell
บทประพันธ์/เขียนบท : Scott Silver,Paul Tamasy
ดารานำแสดง : Mark Wahlberg,Christian Bale และ Amy Adams
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 47 รางวัล & ชนะเลิศ 39 รางวัล ดูรายละเอียด

---
ปกติแล้วฉันเป็นคนที่ไม่ชอบดูหนังเกี่ยวกับหมัดๆ มวยๆ เท่าใดนัก เพราะรู้สึกมาตลอดว่า การชกมวยไม่ใช่กีฬา ดังนั้นจึงไม่สนุกเลยที่จะมานั่งดูคนสองคนมาต่อยตีกันเช่นนั้น ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้ดีมาก และมีแผ่นดีวีดีอยู่ในมือแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังผลัดวันประกันพรุ่งที่จะหยิบมันขึ้นมาดู... วันนี้เมื่อตัดสินใจดู ก็รู้สึกว่าไม่แปลกใจเลยที่ IMDB จะให้คะแนนถึง 8.00

The Fighter เป็นภาพยนต์ที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องชีวิตจริงของนักชกรุ่นไลต์เวลเตอร์เวต ไอริช มิคกี้ วาร์ด หนังเล่าถึงเรื่องราวของสองพี่น้องนักมวย ผู้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคที่เกิดจากครอบครัว ที่ครอบงำจนทำให้เขาใช้ชีวิตภายใต้เงานั้น และอุปสรรคภายในใจตัวเองที่ไม่อาจก้าวข้ามพ้นเงาผู้อื่นที่ครอบงำออกมาได้

มิ กกี้ (Mark Wahlberg) เป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกลทางด้านการชกมวย เขาเฝ้ามอง และเพียรฝึกฝนตามอย่างบุคคลผู้เป็นฮีโร่ประจำใจของเขามาตั้งแต่เด็กนั่นคือ พี่ชายของเขาเอง ดิ้กกี้ (Christian Bale) ทั้งสองพี่น้องใช้ชีวิตอยู่ในวงการมวยภายใต้การบงการของมารดา คือ อลิซ (Melissa Leo)

มิกกี้นั้นดูจะเป็นความหวังใหญ่ของครอบครัวนี้ซึ่ง ประกอบด้วยอลิซ มารดาผู้มีบุคลิกชอบบงการ ดิกกี้พี่ชายที่เคยมีอดีตรุ่งโรจน์ทางด้านการชกมวย แต่กลับมาตกอับเพราะพลาดพลั้งไปติดยาเสพติด ตอนนี้ดิกกี้ทำได้เพียงแค่เป็นเทรนเนอร์ให้กับน้องชาย หวังให้มิกกี้ได้คว้าโอกาสที่เขาเคยพลาดนั้น และยังมีพี่สาวอีกเป็นโขยงที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน รอรับความช่วยเหลือจากเขา

จุด เปลี่ยนที่สำคัญของมิกกี้คือ วันที่เขาพ่ายให้กับนักมวยที่ขึ้นมาชกแทนนักมวยที่ตกลงกันไว้ และการที่ได้พบกับชาร์ลีน (Amy Adams) สาวสวยทำงานบาร์ ชาร์ลีนนั้นมีประวัติการเรียนที่ดี ควรจะมีโอกาสที่ดีในอนาคต ถ้าหากไม่ประมาทในการชีวิตด้วยการเที่ยวหนัก และดื่มสุราจนพลาดโอกาสดีๆ เหล่านั้น เธอต้องมาทำงานบาร์แทน และได้พบกับมิกกี้ เธอคอยช่วยประคองเขาให้ก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ จนประสบความสำเร็จในที่สุด

ส่วน ดิกกี้เอง เขาได้ค้นพบข้อบกพร่องของตัวเอง และคิดได้เมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องทำให้เขาติดคุก ชีวิตในเรือนจำ ทำให้เขาได้มีเวลาทบทวนตัวเอง และแก้ไขมันอีกครั้ง

ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของมิกกี้เขาเดินอยู่ภายใต้ร่มเงาของมารดา พยายามที่จะเป็นเงาของพี่ชายที่เป็นฮีโร่ของเขา จนวันหนึ่งได้ตะหนักว่า "เราไม่สามารถประสบความสำเร็จ โดยการยืนอยู่บนเงาของคนอื่น" ด้วยกำลังใจจากบิดาและชาร์ลีน เขาตัดสินใจก้าวออกมาจากการดูแลของมารดา และพี่ชาย และได้พิสูจน์ให้ทั้งสองเห็น ในช่วงนี้ทำให้พี่ชาย และมารดาได้คิดทบทวนข้อบกพร่องต่างๆ ของตัวเอง และในตอนท้ายเรื่องเมื่อทั้งคู่ปรับปรุงตัวเองแล้ว ก็เข้ามาช่วยทำให้มิกกี้ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ..

สำหรับ ความรู้สึกของฉันเมื่อได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้จบ คือ มันทำให้ฉันเชื่อมั่นในการเริ่มต้นใหม่ ชีวิตของคนเราไม่ว่าผิดพลาดอะไรมา แต่เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ .. แท้จริงแล้วโอกาสสำหรับเริ่มต้นใหม่นั้นมีอยู่ตลอดเวลา และคนที่จะให้โอกาสนั้นคือ ตัวคุณเอง..

ดังนั้นเมื่อดูหนังเรื่องนี้ จบ ฉันรู้สึกอิ่มใจ และตั้งใจจะเก็บหนังเรื่องนี้ไว้เป็นหนังในดวงใจอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะไว้นึกถึงเมื่อวันใดที่รู้สึกพลาดหวังและท้อแท้

----  The Fighter (2010) : Movie trailer
--

The Reader (2008) : สุดที่รักนักอ่าน


The Reader (2008)
เรต : R ความยาว : 124 นาที ประเภท : Drama | Romance
ผู้กำกับ : Stephen Daldry
บทประพันธ์: (Bernhard Schlink : นวนิยาย),David Hare(เขียนบท)
ดารานำแสดง : Kate Winslet,Ralph Fiennes และ Bruno Ganz
รางวัลที่ได้รับ : เข้าได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 32 รางวัล & ชนะเลิศ 14 รางวัล >>ดูรายละเีอียด


--
"การอ่านไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการสนทนาในความเงียบ" - (วอลเตอร์ ซาเวจ แลนเดอร์ ) ฉันว่าคำกล่าวนี้น่าสนใจ ถ้าหากว่ามันเป็นความจริงแล้ว มันจะวิเศษสักเพียงไหน ถ้าหากเราสามารถแบ่งปันบทสนทนาร่วมกัน ด้วยการอ่านออกเสียงให้ใครสักคนที่มีรสนิยมเดียวกันฟัง นี่คือความพิเศษและโรแมนติกของภาพยนต์เรื่องนี้

The Reader เ็ป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ลึกซึ้งเหม่นเหม่ศีลธรรมของหนุ่มน้อยกับสาวใหญ่ ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หนุ่มน้อยวัยรุ่นอายุ 15 นามว่า มิคาเอล (David Kross)กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยม กับสาวใหญ่วัย 36 ชื่อ ฮันนา (Kate Winslet) ที่ทำงานเป็นพนักงานเก็บตั๋วโดยสาร โดยความสัมพันธ์ของทั้งคู่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งด้วยการ "อ่าน" ฮันนาชอบที่ให้มิคาเอลอ่านหนังสือออกเสียงให้เธอฟัง ส่วนใหญ่เป็นหนังสือวรรณกรรมชิ้นเอกของโลกอย่าง "The Odyssey" ,"Huck Finn" และ "The Lady with the Little Dog."

กิจวัตรที่มิคาเอลต้องทำเป็น ประจำในช่วงนั้นคือ หลังเลิกเรียนบึ่งจักรยานมาหาฮันนา อ่านหนังสือให้เธอฟัง อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ทำอย่างนี้ราวกับว่ามันเป็นกิจกรรมบังคับ ในขณะที่ความหลงไหลลึกซึ้งที่มิคาเอลมีต่อฮันนาเพิ่มขึ้นทุกวัน ฉับพลันวันหนึ่งฮันนาก็หายตัวไปจากชีวิตของเขาโดยไม่ได้บอกกล่า่ว..

แปด ปีถัดมาขณะที่มิคาเอล (Ralph Fiennes) เป็นนักศึกษากฎหมายในมหาวิทยาลัย เขาได้พบกับฮันนาอีกครั้ง แต่ตอนนี้เธออยู่ในสถานะจำเลยในคดีที่เกี่ยวกับสงครามนาซี ในช่วงนี้เองที่เขาได้ค้นพบความลับบางสิ่งในชีวิตของฮันนา.. เป็นความลับที่เธอเฝ้าเก็บงำมาตลอดชีวิต และมันเป็นความลับกำหนดชะตากรรมของเธออีกด้วย

สำหรับมิคาเอลเองแล้ว แม้จะพบเจอคบหาผู้หญิงสักกี่คน ก็ไม่มีใครเหมือนกับฮันนา หญิงสาวผู้สอนให้เขารู้จักความรัก ความหลงใหล ทั้งในรูปกาย แต่สุดท้ายในบั้นปลายชีวิตของฮันนา เธอได้พบกับหนทางอยู่ร่วมกับเขาอีกครั้ง ในรูปแบบของ "การอ่านออกเสียงของเขาให้เธอฟัง" อีกครั้ง เป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานนับสิบปี ...

หนัง เรื่องนี้เป็นภาพยนต์โรแมนติกที่ละเมียดละไม และน่าเศร้าใจไปพร้อมๆ กัน ในความรู้สึกของฉันที่เข้าใจหัวอกคนรักการอ่าน เพราะมันยากเย็นเข็ญใจเพียงไหนที่จะได้พบกับคนที่มีรสนิยมเหมือนกัน เสพสุขในสิ่งเดีียวกัน นั่นคือ หนังสือเล่มโปรด เหมือนฮันนากับมิคาเอล ที่เชื่อมโยงกันด้วยความสนใจเดียวกัน แต่เมื่อโชคชะตาไม่เป็นใจ ทั้งคู่ได้พบกันในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม .. เรื่องรักโรแมนติกจึงกลายเป็นเรื่องเศร้าแทน ~

---The Reader (2008) :  Movie Trailer

The Princess and the Frog (2009) : เจ้าหญิงก้นครัว และเจ้าชายกบ


The Princess and the Frog (2009)
เรท :G ความยาว : 97 นาที ประเภท : - Animation | Family | Fantasy
ผู้กำกับ : Ron Clements, John Musker

เขียนบท : Ron Clements,John Musker
ดารานำแสดง (เสียง) : Anika Noni Rose,Keith David และ Oprah Winfrey
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 26 รางวัล & ชนะเลิศ 7 รางวัล ดูรายละเอียด

--
สมัย เรายังเป็นด็กผู้ใหญ่มักจะเล่าเรื่องเทพนิยายให้เราฟัง ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของเจ้าชายเจ้าหญิง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย "เจ้าชายกบ" เด็กๆ จินตนาการได้ถึงเรื่องราวที่มีสีสันสวยงาม ตระการตา เชื่อแน่ว่าเด็กๆ ส่วนใหญ่ฝันอยากเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงในเทพนิยายเหล่านั้น หรือไม่ก็ได้รับอิทธิพลของเรื่องราวเหล่านั้นให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจในยาม เติบโตขึ้น ฉันหยิบหนังเรื่องนี้มาดูอีกครั้งพร้อมหวนรำลึกถึงยามวัยเยาว์ ... ถามตัวเองว่า เรามีความฝันอะไรนะสมัยนั้น?

The Princess and the Frog เป็นเรื่องราวของหญิงสาวผิวสีธรรมดาๆ คนหนึ่ง ชื่อ เทียน่า แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาในตัวเธอคือ ความฝัน เธอเติบโตในครอบครัวชนชั้นแรงงานพ่อซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวต้องทำงานหนักถึง 2 กะ เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย ส่วนมารดานั้นทำงานเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับครอบครัวมหาเศรษฐี และนำเธอมาเลี้ยงขณะทำงานด้วย เทีียน่าจึงได้สนิทสนมเป็นเพื่อนเล่นกับชาล็อตลูกสาวเจ้าของบ้านที่มารดาทำ งานให้

หลังจากเลิกงานครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เทียน่าในวัยเยาว์ได้ฝึกฝนทำอาหารเมนูโปรดให้กับพ่อและแม่รับประทาน และยังแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้านอีกด้วย บิดามักพูดให้เทียน่าฟังว่า "รู้ไหมอาหารอร่อยๆ มันวิเศษตรงไหน ก็ตรงที่มันจะชักนำคนทุกชนชั้นมารวมตัวกัน ทำให้ทุกคนผ่อนคลาย และสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับใบหน้าผู้คนเหล่านั้น" คำพูดนั้นยิ่งตอกย้ำ ให้เทียน่าหมั่นฝึกฝนการอาหาร และมีความฝันที่จะเปิดร้านอาหารที่มีอาหารอร่อยๆ ไว้คอยต้อนรับผู้คน และทำให้ผู้มาเยือนมีความสุข

ในขณะที่เด็กๆส่วนใหญ่ ถูกสอนให้หมั่นอธิษฐานขอพรกับดวงดาว ขอให้ความปรารถนาทั้งหลายเป็นจริง บิดาของเทียน่ากลับสอนว่า "ดวง ดาวจะช่วยเราครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งเราต้องช่วยตัวเองด้วย โดยการทำงานหนัก และใช่แล้ว ลูกจะได้ในทุกสิ่งที่ปรารถนา ถ้าตั้งใจจริง"

ตั้งแต่ นั้นมาเทีียน่าทำงานหนักเป็นสองเท่าและเก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์เพื่อ ที่ว่าจะได้มีร้านอาหารเป็นของตัวเองตามที่ฝันไว้ ... แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเทียน่า นั่นคือ มีเจ้าชายต่างเมืองแวะมาเยือนเมืองนี้ เขาเป็นแขกพิเศษของเศรษฐีผู้เป็นบิดาของชาร์ลอตเพื่อนสนิทเทียน่า

เจ้า ชายนาวีน ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอิสระเสรีไร้ความรับผิดชอบจนโดนครอบครัวตัดหางปล่อยวัด เขามาเมืองนี้เพื่อที่จะได้แต่งงานกับหญิงสาวผู้ร่ำรวยสักคน นั่นคือชาร์ล๊อต แต่ทว่ากลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้สิ่งที่เขาฝันไว้ล้มเหลวเมื่อได้พบกับ Dr. Facilier ชายผู้ใช้มนต์ดำทำสิ่งชั่วร้าย เขาเสกเจ้าชายหนุ่มให้เป็นกบ และพลอยให้ทำเทียน่ากลายเป็นกบไปด้วย กบทั้งสองจะต้องดั้นด้นเดินทางไปหาหญิงชราตาบอดอายุ 197 ปี นาม มาม่าโอดี้ เพื่อให้ช่วยเขาและเธอกลับคืนร่างเดิม...

ในระหว่างทาง ทั้งสองได้พบเจอเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อค้นหา "สิ่งจำเป็นของตัวเอง" โดยการช่วยเหลือของ เจ้าจรเข้เฒ่่า หลุยส์ ผู้รักการเป่าแซกโซโฟน,เรย์ หิ่งห้อยผู้หลงรักดวงดาว และผองเพื่อน

สำหรับฉันหนังเรื่องนี้สนุกกว่าที่คาดหวัง และยังมีข้อคิดดีๆ ที่สามารถนำมาใช้กับชีวิตได้อีกหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะ "วิธีมัดใจชายหนุ่มที่ดีที่สุด ผ่านท้องของเขา" ที่นางเอกเราพูด 555+ (สงสัยต้องไปหัดทำอาหารให้อร่อยเสียก่อน)

ดู หนังจบ ฉันได้คำตอบที่ถามตัวเองก่อนเริ่มดูหนังเรื่องนี้ ปรากฎว่าน่าตกใจ ว่าความฝันความจริงในปัจจุบัน มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง อาจจะเป็นเพราะเมื่อก้าวสู่โลกแห่งความเป็นจริง ระหว่างทางเดินไปสู่ความฝันฉันเกิดความรู้สึกว่า ทำไมมันช่างยากเย็นนักหนา จึงล้มเลิกความฝันและทิ้งจินตนการทั้งหลายฝังไว้พร้อมกับเทพนิยายที่เคยอ่าน พร้อมบอกตัวเองว่า เทพนิยายเ็ป็นเรื่องหลอกเด็กเท่านั้น

วันนี้ฉัน ได้เรียนรู้แล้วว่าเทพนิยายหรือความฝันทั้งหลายนั้นเป็นจริงได้ แต่ว่าไม่สามารถได้มาด้วยการร้องขอต่อดวงดาวเพียงอย่างเดียว เหมือนที่บิดาของเนางเอกในการ์ตูนเรื่องนี้สอน เราสามารถสร้างทุกสิ่งได้ด้วยสองมือเรา ถ้าเปี่ยมด้วยจินตนาการ มุ่งมั่นและลงมือทำให้เต็มที่ ... อะไรๆ ก็เป็นไปได้ :)

--- Movie Trailer :

Lady Vengeance (2005) : ถึงคราวผู้หญิงแก้แค้น


Lady Vengeance (2005)
หนังเกาหลี (Korea : Chinjeolhan geumjassi - Original title)

เรต : R ความยาว : 112 นาที ประเภท: Crime | Drama | Thriller
ผู้กำกับ : Chan-wook Park

บทประพันธ์/เขียนบท : Chan-wook Park,Seo-Gyeong Jeong
ดารานำแสดง : Yeong-ae Lee,Min-sik Choi และ Shi-hoo Kim

--
มี คำกล่าวไว้ว่า "คนเราไม่ได้อยากแก้แค้นเพียงเพราะโกรธที่ถูกทำร้ายเท่านั้น หากยังเพราะมีความอาฆาตพยาบาทซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยความทรงจำ " นี่เป็นความจริงอย่างยิ่งสำหรับภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะนางเอกใช้เวลาถึง 13 ปีครึ่งในคุกเพาะบ่มความแค้น หล่อเลี้ยงมันให้เติบโตด้วยความพยาบาทจนมันมีพลังทำร้ายล้างชนิดที่ว่าใครก็ ขวางมันไม่ได้

กิมจา (Yeong-ae Lee)ในวัย 19 เธออยู่ในวัยสาวสะพรั่งงดงามแต่กลับถูกจับในข้อหาลักพาเด็กชายวัย 5 ขวบและฆ่าหนูน้อยจนตาย ทีวีทุกช่องฉายภาพข่าวนี้คนทั่วประเทศต่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าเธอจะทำได้ เพราะเธอดูขัดแย้งกับข้อหาที่เหี้ยมโหดเช่นนั้น ด้วยดวงตากลมโต ผิวขาวใส แม้กระทั่งชุดลายดอกไม้ที่เธอสวมในวันนั้นก็กลายมาเป็นแฟชั่นฮิตในหมู่สาวๆ อีกครั้ง

My Blueberry Nights (2007) : 300 วัน ตามหาหัวใจตัวเอง


My Blueberry Nights (2007)
เรต : PG_13 เวลาฉาย : 95 นาที ประเภท: Drama | Romance
ผู้กำักับ : Kar Wai Wong

บทประพันธ์ : Kar Wai Wong,Lawrence Block
ดารานำแสดง : Norah Jones,Jude Law,Natalie Portman และ Rachel Weisz

--
ระยะ ทางระหว่างการอกหัก กับการเริ่มต้นใหม่ไกลกันแค่ไหน? คำตอบสำหรับคำถามนี้นั้นคงขึ้นอยู่กับความทรงจำเก่าๆที่เจ็บปวดกระมัง ถ้าเจ็บปวดมากระยะห่างของการเริ่มต้นใหม่ยิ่งไกลออกไปมากเท่านั้น

My Blueberry Nights เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มเจ้าของบาร์เล็กๆในนิวยอร์ก เจเรมี่ (Jude Law) ผู้ซึ่งเก็บพวงกุญแจของแขกที่ลืมไว้ในร้าน เขาจดจำรายละเอียดของเจ้าของมันได้ทุกคน และรอคอยหวังว่า พวกเขาจะกลับมารับมันคืน เมื่อถูกถามว่า ทำไมเขาไม่ตามหาเจ้าของพวงกุญเจ เขาตอบเพียงว่า "ตอนเด็กๆ พ่อแม่ผมสอนว่า เมื่อหลงทาง ผมต้องยืนอยู่กับที่ ไม่ใช่วิ่งออกไปตามหา" แม้ช่วงที่อลิซาเบทย้ายไปอยู่เมืองอื่นแล้ว เขาก็เลือกอยู่ที่บาร์และโทรตามหาเธอ

เมื่อยามพลัดหลงกับเพื่อนร่วมทางสิ่งที่คนเราจะทำมีแค่ 2 สิ่งคือ บางคนวิ่งออกไปตามหา แต่บางคนกลับเลือกที่จะอยู่กับที่ .. และเมื่อยามหลงทางรักหลงทางกับเพื่อนร่วมชีวิต ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

แต่ สาวน้อย อลิซาเบท (Norah Jones) เลือกตรงกันข้าม กับ 2 อย่างนั้น เธอเลือกวิ่งหนีออกไปจากที่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่เพื่อไปตามหา นี่เป็นเรื่องราวของหนังเรื่องนี้

อลิซาเบทเพิ่งพบว่าแฟนหนุ่มนอกใจ วันหนึ่งเมื่อเธอไปที่บาร์ของเจเรมี่เพื่อฝากกุญแจห้องคืนให้แฟนเก่า เมื่อพูดคุยกันจนคุ้นเคยแล้ว เธอได้ถามเขาว่า ทำไมพายบลูเบอร์รี่ไม่ดีตรงไหน ถึงเหลือทิ้งเยอะขนาดนั้นทุกคืน เขาตอบเธอว่า
"ไม่ใช่พายบลูเบอร์รี่ไม่ดี แต่เพราะคนเลือกกินอย่างอื่น ไปโทษพายบลูเบอร์รี่ไม่ได้"

อลิ ซาเบทก็คงคิดเหมือนฉันที่ว่า บางครั้งการที่สุดท้ายแฟนเราไม่เลือกเรา ไม่ใช่เราไม่ดี แต่แค่เขาไม่เลือก ก็เท่านั้นเอง.. เหมือนบลูเบอร์รี่พายถาดนี้ที่เหลือทิ้งทุกคืน

คุณจะบอกลาคนที่คุณ รุ้ว่าคุณก็ขาดเขาไม่ได้ยังไง? สำหรับอลิซาเบทคือ เลือกที่จะไม่ลา เดินหนีมาเฉยๆ เธอย้ายมาอยู่ที่เมืองเมมฟิส ทำงานร้านอาหาร ทั้งสองแห่ง กลางวันทำที่หนึ่ง กลางคืนทำอีกที่หนึ่ง เพื่อให้ไม่ว่างคิดถึงแฟนเก่า..

ที่ นี่เธอได้พบกับสาวสวย ซู ลีน(Rachel Weisz) และสามีวัยกลางคนอาร์นี่ (David Strathairn)ซู ลีนควงชายหนุ่มไม่เลือกหน้ามาเยาะเย้ย และพูดใส่หน้าเขาว่า เธอเลิกกับเขาแล้ว ด้วยความเจ็บช้ำอาร์นี่ดื่มเหล้าจนเมามายและเกิดอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต ..ซู ลีน มาดื่มเหล้าที่บาร์อีกครั้ง เธอดื่มเมามายเพ้อถึงอดีตสามีให้อลิซาเบทฟังว่า "บางครั้งฉันก็อยากให้เขาตายไปเสีย เพราะเป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากเขาได้ ฉันไม่ได้เกลียดเขา แต่แค่อยากให้เขาปล่อยฉันไป ตอนนี้เขาก็ปล่อยแล้ว แต่ฉันกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า ยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้" -- คนเราเป็นเช่นนี้เอง มักจะรู้สึกตัวเมื่อสายไปเสียแล้วเสมอ

เมื่ออลิซาเบทย้ายมาทำงานที่ คาสิโนแห่งหนึ่งในเนวาดา การทำงานในคาสิโนมีข้อดีอย่างหนึ่งสำหรับอลิซาเบทคือ ไม่ต้องกังวลว่าจะนอนไม่หลับอีกต่อไป เพราะทำงานที่นี่จะไม่รู้วันเวลาว่่าเป็นกลางคืนหรือกลางวัน และสถานที่นี้เองที่ทำให้เธอได้พบกับเลสซี่ (Natalie Portman) สาวน้อยผู้ลุ่มหลงกับการพนัน คืนหนึ่งเลสซี่หมดตัวกับการพนันและหวังจะแก้มือ แต่หาเงินมาไม่ได้ เธอยื่นข้อเสนอกับอลิซาเบทเพื่อยืมเงิน ถ้าหากไม่มีมาคืนให้จะให้ยึดรถจากัวร์ไป

เลสซี่บอกว่าเธอแพ้พนัน ทั้งคู่ขับรถไปด้วยเวกัสด้วยกัน เลสซี่สอนอลิซาเบทว่า "อย่าไว้ใจใคร แม้แต่ตัวเรา" ขณะหยุดพักรับประทานอาหารกลางทาง คนที่โรงพยาบาลโทรมาบอกเลสซี่ว่า พ่อของเธอกำลังป่วยอยู่โรงพยาบาล แต่ความไม่เชื่อใจคนของเลสซี่ทำให้เธอไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แม้กระทั่งเมื่อไปถึงโรงพยาบาลเลสซี่ยังไม่กล้าเข้าไป เธอให้อลิซาเบทเข้าไปแทน เืพื่อรับรู้ว่า พ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว ... ในที่สุดเลสซี่บอกว่าแท้จริงแล้วเธอชนะพนัน แต่ไม่อยากเดินทางคนเดียว จึงได้บอกว่าเธอแพ้ ในความเข้มแข็งของเลสซี่นั้น ภายในเปราะบางกว่าที่คิด

ตอน ท้ายเรื่อง อลิซาเบทแยกตัวไปซื้อรถ และเดินทางด้วยตัวเอง ในวันที่ 300 พอดี เธอเดินทางกลับมาที่บาร์เพื่อพบกับเจเรมี่อีกครั้ง ... เธอร้องขอบลูเบอร์รี่พายของโปรด และบอกเจเรมี่ว่า "ฉันไปมาทั่วแล้ว....ที่นี่ดีที่สุด"

บางครั้งเราวิ่งตะลอนๆ ไปทั่วเพื่อหาหัวใจตัวเอง จนเหนื่อย เราถึงได้เรีียนรู้ว่า แท้จริงแล้ว หัวใจมันอยู่กับตัวเรา .. ตลอดเวลา


--- Movie Trailer :

Girl with a Pearl Earring (2003) : หญิงสาวกับต่างหูมุก


Girl with a Pearl Earring (2003)
เรต : PG_13 ระยะเวลา: 100 นาที ประเภท: Biography | Drama | Romance
ผู้กำกับ : Peter Webber
บทประพันธ์: นวนิยายที่เขียนโดย Tracy Chevalier,Olivia Hetreed (เขียนบท)
ดารานำแสดง : Scarlett Johansson,Colin Firth และ Tom Wilkinson
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 34 รางวัล ชนะเลิศ 12 รางวัล ดูรายละเอียด

--
ภาพยนต์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายชื่อเรื่องเดียวกัน ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของ Tracy Chevalier  โดยชื่อเรื่องของนวนิยายและภาพยนต์เป็นชื่องภาพหลังจากวาดเสร็จแล้วของศิลปินที่มีชื่อเสียง โยฮันส์ เวร์เมร์ และผู้กำกับใช้โทนสีในภาพยนต์เป็นโทนเดียวกับภาพวาดดังกล่าวด้วย

เรื่องราวในภาพยนต์ Girl with a Pearl Earring  นั้นเป็นเรื่องราวที่เล่าถึงที่มาของภาพศิลปจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงที่ชื่อภาพว่า "Girl with a pearl earring". หรือ "หญิงสาวกับต่างหูมุก" เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยโยฮันส์ เวร์เมร์จิตรกรสมัยบาโรกชาวเนเธอร์แลนด์ ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ Mauritshuis, เฮกในประเทศเนเธอร์แลนด์

Lemming (2005) : หลอนซ่อนมรณะ


Lemming (2005)
หนังฝรั่งเศส
ความยาว :129 นาที ประเภท :Drama | Mystery | Thriller
ผู้กำกับ : Dominik Moll

บทประพันธ์/เขียนบท : Gilles Marchand,Dominik Moll
ดารานำแสดง : Laurent Lucas,Charlotte Gainsbourg และ Charlotte Rampling
---
Lemming เป็นชื่อพันธุ์หนูที่มีเชื้อสายมาจากสแกนดิเนเวีย หนังเรื่องนี้นำหนูชนิดนี้มาเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์อะไรบางสิ่งบางอย่างกับ หนังเรื่องนี้ อันเป็นเรื่องราวของครอบครัว 2 ครอบครัวที่ต่างวัยกัน แต่มาเกี่ยวพันเืชื่อมโยงกัน และก่อให้เกิดเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่ลึกลับสับสนเกินคาดเดา

I Spit On Your Grave (2010) : แค้นนี้ต้องฆ่า

I Spit On Your Grave (2010)
ความยาว : 108 นาที ประเภท :Crime,Horror,Thriller
ผู้กำกับ : Steven R.Monroe
บทประพันธ์/เขียนบท : MeirZarchi,Stuart Morse
ดารานำแสดง : Sarah Butler,Jeff Branson และ Andrew Howard

--

I Spit On Your Grave เป็นเรื่องของการทวงคืนความแค้นของลูกผู้หญิงได้อย่างสาสม และสะใจสำหรับคนดูเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมันดูไม่สมจริงไปบ้างในแง่ที่ว่าเหตุใดผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวสามารถกระทำการใหญ่ได้ขนาดนั้น แต่เอาเถอะ บางครั้งเราก็อยากเชื่อในสิ่งที่เราอยากให้เป็นมากว่าความสมเหตุสมผลใดๆ เช่นเดียวกับการแก้แค้นของนางเอกในหนังเรื่องนี้

เรื่องราวเริ่มต้น จากวันที่นางเอกของเรา เจนนิเฟอร์ ฮิลล์ (Sarah Butler) เดินทางมาที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เพื่อปลีกตัวเงียบๆ เขียนนวนิยายเรื่องใหม่ เธอได้เช่าบ้านพักตากอากาศหลังเล็กๆ น่ารัก มีบึงตรงหน้าบ้าน ภายในป่าที่เงียบสงบที่เธอคาดไม่ถึงว่าสถานที่น่ารักเช่นนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธออย่างไม่มีหวนกลับเป็นเช่นเดิม...

Requiem for a Dream(2000) : 4 ชีวิต กับ 4 ฝัน บทเส้นทางเดินที่โรยด้วยยาเสพติด


Requiem for a Dream (2000)
ความยาว : 102 นาที ประเภท : Drama
ผู้กำกับ :Darren Aronofsky

บทประพันธ์/เขียนบท: Hubert Selby Jr.
ดารานำแสดง : Ellen Burstyn,Jared Leto และ Jenifer Connelly
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 34 รางวัล ชนะ 21 รางวัล ดูรายละเอียดที่นี่

---
หยิบ หนังเรื่องนี้มาดูเนื่องจากได้รับข่าวว่านักร้องสาวดาวรุ่งชาวอังกฤษที่ กำลังมีอนาคตสดใสเสียชีวิตลงเช้าวันหนึ่งเพียงเดียวดายในอพาร์ทเม้นท์ สื่อประโคมข่าวว่าเธอเสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาด แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราย่อมรู้อยู่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเธอใช้ยาเสพติดอย่างหนักมาก่อน และนี่ทำให้ฉันใคร่รู้ว่าทำไมคนเราทั้งๆ ที่รู้ว่ายาเสพติดไม่ได้มีคุณต่อร่างกายแต่ก็ยังใช้มันอยู่

Requiem for a Dream เป็นเรื่องราวของ 4 ชีิวิตที่เกี่ยงข้องกันทั้งในด้านความสัมพันธ์ และพฤติกรรมซึ่งทุกคนล้วนแต่เสพติดสารเสพติดด้วยกันทั้งสิ้น จุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ผลที่ตามมากลับมหาศาลชนิดเปลี่ยนชีวิตและความสัมพันธ์

แฮ รี่ โกลด์ฟาร์ป (Jared Leto) ชายหนุ่มผู้น่าจะมีอนาคตไกล เขามีความฝันอยากเปิดร้านเสื้อให้กับแฟนสาวคนสวย แมเรียน แต่เริ่มต้นชีวิตผิดพลาดส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตพลาดพลั้งไปหมด หนังเปิดฉากมาด้วยภาพเขากับไทรอนเพื่อนสนิทพยายามขโมยทีวีของแม่คือนางซาร่า ส์ โกลด์ฟาร์ปไปจำนำเพื่ำอนำเงินมาเสพยา ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอย่างนี้ เรื่องราวเลยเถิดจนถึงขั้นวางแผนในการค้ายาจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา

แม เรียน ซิลเวอร์ (Jennifer Connelly) สาวน้อยแสนสวยผู้ขาดแคลนความรักจากครอบครัว แม้จะร่ำรวยแต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอมีความสุข เธอมีความฝันเพียงได้อยู่กับคนที่เห็นคุณค่าในตัวเธอ ทั้งๆ ที่มีพรสวรรค์ในการทำเสื้อผ้า แต่ด้วยการเลือกคบคนผิด เธอกับแฮรี่พากันเสพยาเสพติด ทำให้ชีวิตมืดมนและตกต่ำ เกินเียียวยา.. เจนนิเฟอร์ในเรื่องนี้ยังสวยน่ารักอยู่เลย แต่บทก็แรงมาก และเธอแสดงได้ีดีมากๆ อ่อ ฉันชอบประโยคหนึ่งที่แมเรียนพูดกับแฮรีว่า "ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่เงิน แต่มันคือฉันไม่รู้จะหาเงินได้ยังไง" เอ่อ ก็จริงนะ :D

นางซาร่าส์ โกลด์ฟาร์ป (Ellen Burstyn) หญิงชรารูปร่างท้วมผู้มีความฝันอยากมีตัวตนในสายตาคนรอบข้าง เธอใช้ชีวิตเพียงลำพังในอพาร์ทเม้นท์หลังเล็กๆ การมีชีวิตที่โดดเดี่ยวเช่นนี้ วันหนึ่งเมื่อได้รับโทรศัพท์มาแจ้งว่าเธอจะได้มีโอกาสออกรายการเกมส์โชว์ทาง ทีวี เธอรู้ทันทีว่าถ้าได้ออกทีวี ก็จะกลายเป็นคนสำคัญอีกครั้ง เธอหวนคิดถึงชุดสีแดงที่เคยใส่ในวันรับประกาศนียบัตรของลูกชาย อยากสวมมันอีกครั้ง เมื่อเธอไม่อาจเอาชนะใจตัวเองให้ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติได้ ทางเลือกที่ลัดที่สุดในการไปถึงความฝันนี้ก็คือ "ยาเสพติดเพื่อลดน้ำหนัก"และมันส่งผลร้ายแรงอย่างที่เธอคาดไม่ถึง.. เรื่องนี้ป้าแกแสดงได้ดีมากๆ

ไท รอน (Marlon Wayans) ชาวหนุ่มผิวดำ เพื่อนสนิทของแฮรี่ เขามีความฝันที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อพิสูจน์ให้แม่ของเขาเห็นว่าเขาก็สามารถทำได้ เป็นความฝันที่ฝังใจมาตลอดจนโตเป็นหนุ่ม เขากับแฮรี่วางแผนจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่เลือกใช้ทางลัดด้วยการวางแผนขายยาเสพติด ...

จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 ชีวิตเริ่มต้นจากความฝัน ความหวัง ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่เลือกใช้อุปกรณ์ที่ผิด เหมือนเราติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก แน่นอนว่าสุดท้ายมันไม่เวิร์ค และต้องเลาะมาติดใหม่ เพียงแต่ชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมันกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ยาก หรือแทบไม่ได้เลย ดังเราจะได้เห็นผลลัพธ์จากการเสพติดยาของทั้ง 4 ชีวิตนี้

----

แม้ จะมีผู้กล่าวว่าหนังเรื่องนี้มืดมน หดหู่ ชวนจิตตก แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกประทับใจมาก ไม่เพียงแค่มุมกล้องที่แปลกกว่าภาพยนต์เรื่องอื่น เพลงประกอบที่เข้ากันดี และการแสดงที่สมจริงของทุกตัวละครเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ประทับใจคือ เรื่องนี้สะท้อนความจริงบางด้านของชีวิตคน ดูชีวิตตัวละครแล้วต้องย้อนกลับมาดูชีวิตตัวเองเหมือนกันนะ

สุดท้าย คงได้แต่หวังว่าถ้าคนที่ใช้ยาสักคนได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ จะเกิดแรงบันดาลใจให้เลิกพึ่งพามัน ฉันเชื่อว่าด้วยพลังใจของคนเราสามารถไปฝันได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง "ทางลัด" ใด ๆ โดยเฉพาะทางลัดที่ชื่อว่า "ยาเสพติด"

--movies trailer :

Jodhaa Akbar (2008) :อัศวินราชา บุปผาสวรรค์ราณี


Jodhaa Akbar (2008)
หนังอินเดีย

ความยาว : 213 นาที ประเภท : Action | Adventure | Biography  เรตติ้ง imdb: 7.3
ผู้กำกับ :Ashutosh Gowariker

บทประพันธ์/เขียนบท : Haidar Ali
ดารานำแสดง : Hrithik Roshan,Aishwarya Rai และ Sonu Sood
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศ 11 รางวัล & ได้รับการเสนอเข้าชิง 16 รางวัล ดูรายละเอียดที่นี่

หนังอินเดียเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของ Ashutosh Gowariker ซึ่งมีผลงานการกำกับภาพยนต์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล Academy Award ภาพยนต์เรื่อง Lagaan (2001) และหนังเรื่องนี้ชนะเลิศรางวัล Audience Award for Best Foreign Language ในเทศกาล São Paulo International Film Festival และอีกหลายรางวัล

Jodhaa Akbar เป็นหนังรักโรแมนติกที่เกิดจากชายหญิง ต่างศาสนา ต่างเผ่าพันธุ์ เป็นภาพยนต์อิงประวัติศาสตร์ความรักระหว่างจักรพรรดิ์มุสลิมราชวงศ์โมกุล กับเจ้าหญิงฮินดู ซึ่งทั้งคู่ต้องเข้าสู่พิธีสมรสกันด้วยเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งกว่าพวกเขาจะครองรักกันได้นั้นต้องผ่านอุปสรรคทั้งภายนอก และภายในอีกมากมาย ..

Last Night (2010) : เมื่อมีเวลาต้องไกล จะเผลอปันใจให้ใครไหม?


Last Night (2010)
เรท : R ความยาว : 90 นาที ประเภท : Drama | Romance
ผู้กำกับ : Massy Tadjedin
บทประพันธ์ : Massy Tadjedin
ดารานำแสดง : Keira Knightley,Sam Worthington และ Eva Mendes

----

คุณคิดว่า คุณจะเข้มแข็งพอไหมที่จะซื่อสัตย์กับคู่ชีวิตของคุณ? ถ้าหากว่าคุณมีเวลา 1 คืน กับคนที่คุณอาจเคยรัก เคยหลงไหล หรือ ว่าคนที่มีอำนาจยั่วใจคุณ และในคืนนั้นเป็นคืนที่สิ่งแวดล้อมทั้งหลายล้วนเป็นใจให้

Lastnight เป็นเรื่องราวของสถานการณ์อันพิสูจน์จิตใจกันระหว่างสามีภรรยาคู่หนึ่งในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อการกระทำอันผิดศีลธรรม ฝ่ายสามีเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ชื่อไมเคิล (Sam Worthington) และฝ่ายภรรยาคือโจแอนนา (Keira Knightley)เธอเป็นนักเขีียนสาวสวย พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ดูเหมือนมีชีวิตที่เพียบพร้อมทุกอย่าง มีชีิวิตคู่ที่ดูรักกันดี และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทั้งสองอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ทันสมัย

เหตุเกิดจากคืนหนึ่งในงาน เลี้ยงสังสรรค์ที่บริษัทของไมเคิลจัดขึ้น โจแอนนาสังเกตเห็นความสนิทสนมผิดปกติระหว่างสามีของเธอ และเพื่อนร่วมงานสาวคนใหม่ที่ชื่อลอรา (Eva Mendes) เธอรู้สึกไหวหวั่น และเคลือบแคลงใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แม้จะพยายามเก็บมันไว้ในใจ แต่ก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้ เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงที่พัก พายุอารมณ์ของเธอค่อยๆ ประทุออกมา และบังคับให้ไมเคิลพูดออกมาว่า เขารู้สึกอย่างที่เธอคิดจริงๆ นั่นยิ่งตอกย้ำให้มีรอยร้าวเล็กๆ ขึ้นในชีวิตคู่ของเขาและเธอ เป็นรอยร้าวที่เกิดจากความหวาดระแวง

ต่อ มาไมเคิลมีเหตุต้องไปทำงานที่ต่างเมือง และในการไปครั้งนี้เขามีเพื่อนร่วมงานที่ชื่อลอร่าไปด้วย ในช่วงที่ไร้ไมเคิลนั้นช่างเป็นวันที่แสนทรมาน เพราะโจแอนนาไม่สามารถรังสรรค์งานเขียนออกมาได้เลย เธอหมกหม่นครุ่นคิดถึงแต่ว่าพวกเขาจะทำอะไรกันบ้าง แต่แล้ววันหนึ่งขณะไปซื้อกาแฟในตอนเช้า เธอได้พบกับอเล็กซ์ (Guillaume Canet) ผู้ซึ่งเคยเป็นมีความสัมพันธ์กันในช่วงที่เธอไปเขียนหนังสือที่ปารีส พวกเขานัดพบกันอีกครั้งในตอนค่ำ

ไมเคิลกันเพื่อนร่วมงานสาวสุดเซ็กซี่ในบรรยากาศเป็นใจในสถานที่ห่างไกลภรรยา และโจแอนนากับความทรงจำที่มีตัวตนในอดีต พวกเขาจะสามารถเอาชนะอำนาจ
---

ดูหนังจบความรู้สึกของฉันที่มีภาพยนต์เรื่องนี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก มันเหมือนเรากำลังนั่งดูชีวิตเพื่อนบ้านที่กำลังมีปัญหาครอบครัวกัน เราเป็นเพียงคนนอกที่มองภาพจากมุมมองด้านนอก รายละเอียดของการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นภาวะที่เราไม่อาจเข้าไปมีส่วนร่่วมได้ ไม่สามารถลุ้น เชียร์ หรือกระทำการใดๆทั้งสิ้น และเมื่อสิ้นสุดการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านั้น ก็เป็นสิ่งที่พวกเขามีสิทธิ์ทำได้ นอกจากดูชีวิตคนอื่น ดูละครแล้วย้อนกลับมาดูเราเอง

สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้ของฉันคือ ถ้าหากอยากมีชีวิตคู่ ที่ยั่งยืนยาว บางครั้งคนเราก็จำต้องจะทิ้งความหวาดระแวง ให้อภัยกัน และบางอย่างไม่รู้จะดีกว่า หรือถ้ารู้แล้วบางทีก็ต้องทำเป็นไม่รู้จะได้ไม่มีเรื่อง ฉันเคยได้ยิน ผู้ใหญ่สอนว่า ถ้าจะแต่งงานก็ต้องคิดให้ได้ว่า ในบ้านเขาเป็นของเรา นอกบ้านเขาเป็นของคนอื่น ถ้ายังคิดไม่ได้อย่างนี้อย่าเพิ่งแต่ง น่าจะจริงนะเนี่ย เพราะว่าจิตใจคนเป็นสิ่งที่คาดหวังไม่ได้จริงๆ ..

---

Last Night (2010) : 

Wicker Park (2004) : ถลำรัก เล่ห์กลเสน่หา


Wicker Park (2004)
เรท :PG_13 ความยาว : 114 นาที ประเภท : Drama | Mystery | Romance
ผู้กำกับ : Paul McGuigan
บทประพันธ์ : Gilles Mimoui (หนังฝรั่งเศสเรื่อง L'Appartement),Brandon Boyce(เขียนบท)
ดารานำแสดง : Josh Hartnett,Diane Kruger,Matthew Lillard และ Rose Byrne

---
หนังเรื่องนี้เคยถูกสร้างในมาก่อนในชื่อเรื่อง L'Appartement ซึ่งเป็นภาพยนต์ฝรั่งเศส โดยมีดารานำที่เรารู้จักกันอย่าง Monica Bellucci สุดสวย

Wicker Park เป็นเรื่องราวของ แมทธิว (Josh Hartnett) ได้รับข้อเสนอที่ดีมากให้ไปทำงานที่จีน ขณะที่เขากำลังจะเดินทางไปนั้น เขาได้เจอกับร่องรอยของคนรักเก่านาม ลิซ่า(Diane Kruger) ซึ่งเป็นความรักที่ยังฝังใจเขาอยู่ถึงปัจจุบัน แืม้เขาและเธอจะจากกันเนิ่นนานกว่า 2 ปีแล้ว

Let Me In (2010) : แวมไพร์ร้ายบริสุทธิ์

Let Me In (2010)
เรท : Rความยาว  : 116 นาที ประเภท:Drama | Fantasy | Horror
ผู้กำกับ : Matt Reeves
บทประพันธ์/เขียนบท : Matt Reeves,John Ajvide Lindqvist
ดารานำแสดง : Kodi Smi-Mcphee,Choloe Grace Moretz และ Richard  Jenkins
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศ 7 รางวัล & ได้รับการเสนอเข้าชิง 15 รางวัล ดูรายละเอียด

---

หนังเรื่องนี้เป็นการนำมาสร้างใหม่ จากภาพยนต์ที่ชื่อว่า "Let the Right One In." ของสวีเดน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางถึงพล๊อตเรื่องที่โดดเด่นในท่ามกลางกระแสหนังแวมไพร์ยังกรุ่นอยู่ แต่เรื่องนี้กลับหาใช่หนังแวมไพร์ที่น่าเบื่อไม่ เพราะเอาเข้าจริงฉันเป็นคนเกลียดหนังแนวๆ หนังความรักของแวมไพร์ 555 โดยเฉพาะเรื่อง Twilight นี่ ดูไม่รู้เรื่องเลย

ฉันชอบคำโปรยที่โปสเตอร์ที่ว่า "ความอินโนเซนต์ได้ตายไปแล้ว แต่แอ๊บบี้ยังอยู่" มากเพราะมันสื่อได้ดีสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะเพียงแค่ร่างกายเป็นเ็ด็ก แต่ข้างในหาใช่เด็กเสมอไปไม่ เราจึงไม่สามารถดูคนแต่ภายนอกได้เลย

The Way Back (2010) : บนหนทางกลับบ้าน


The Way Back (2010)
เรท:  PG_13  ความยาว : 133 นาที  ประเภท :Adventure | Drama 
ผู้กำกับ : Peter Weir
บทประพันธ์ : Peter Weir,Keith R.Clarke
ดารานำแสดง : Jim Sturgess,Ed Harris,Colin Farrell และ Saoirse Ronan
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศ 1 รางวัล & ได้รับการเสนอชิง 2 รางวัล ดูรายละเอียดที่นี่ >

---
หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดของ Slavomir Rawicz ซึ่งวาดภาพบันทึกการเดินทางกว่า 4000 ไมล์ เพื่ออิสระภาพที่อินเดีย

The Way Back  เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1941 ชาย 3 คน ได้เดินทางจากทิเบตมาถึงอินเดีย พวกเขาเดินทางหลบหนีกว่า 4000 ไมล์จากค่ายเชลยไซบีเรีย  หนังเรื่องนี้ล่าเรื่องสิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอระหว่างทางเพราะการหลบหนีออกมาได้มันเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอุปสรรคอีกมากที่พวกเขาต้องฝ่าฟัน

หัวหน้ากลุ่มของการเดินทางในครั้งนี้ จานุซ (Jim Sturgess) ผู้ต้องโทษเพียงเพราะภรรยาของเขากล่าวโทษว่าเขาเป็นสายลับ จานุซเป็นผู้ชำนาญเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในป่า  ทุกคนจึงยกให้เขาเป็นผู้ำนำกลุ่มในการเดินทางครั้งนี้

พวกเขาวางแผนก่อนหน้านี้ ที่จะสะสมอาหารไว้เพื่อการหลบหนี และหลบหนีออกจากค่ายเชลยศึกในคืนที่ธรรมชาิติเป็นใจเกิดพายุหิมะตกหนัก กลุ่มผู้หลบหนีประกอบด้วย นายสมิท-ชายวัยกลางคนชาวอเมริกันผู้ชอบดูถูกคนอื่น (Ed Harris) ผู้มีคติประจำใจว่า "ความใจดีจะฆ่าเรา",วอลก้า-หนุ่มอันธพาลผู้เห็นแก่ตัวชาวรัสเซีย(Colin Farrell)เขาเคยย้อนมิสเตอร์สมิทเมื่อครั้งถูกทวงถามความกตัญญูว่า "มีแต่หมาเท่านั้นแหล่ะที่กตัญญู" , พ่อครัวผู้มีผีมือในการวาดภาพ, นักบวช และชายที่มีอาการตาบอดในยามกลางคืนชาวโปแลนด์

เมื่อเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก็ได้พบกันสาวน้อยเอียน่า (Saoirse Ronan) ผู้ซึ่งหลบหนีจากภัยสงครามมาเช่นเดียวกัน พวกเขารับเธอไว้ร่วมทางด้วย

ในการเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่ต้องผจญกับค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ภาวะขาดแคลนอาหาร-น้ำ , ฝูงยุง , ทะเลทรายอันแห้งแล้ง ,เทือกเขาหิมาลัย และคำถามของศีลธรรมจริยธรรมเมื่อยามจำต้องทิ้งใครบางคนที่อ่อนแอจนเดินทางต่อไม่ไหวไว้เบื้องหลัง ...
---

สำหรับฉัน หนังเรื่องนี้ให้ความคุ้มตั้งแต่ฉากที่ถ่ายทำ เหมือนเราได้ไปเที่ยวหลายประเทศในเรื่องเดีียว สำหรับคนที่ชอบเดินทางผจญภัย หนังเรื่องนี้ทำให้อิ่มได้เลย นอกจากนั้นยังเป็นการรวมดาราฝีมือระดับพระกาฬอีกหลายคนโดยเฉพาะน้อง Saoirse Ronan นี่แสดงได้น่าประทับใจมากๆ

ฉันชอบประโยคที่ จานุซกับนายสมิทคุยกัน จานุซพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องดิ้นรนหาทางมีชีวิตรอดกลับไปบ้านเพื่อเจอภรรยาที่เคยทำให้เขาต้องเป็นนักโทษในครั้งนี้ เป็นการกลับไปทำให้เธอหลุดพ้นจากลงโทษตัวเอง ซึ่งหากเขาไม่ได้กลับไปแน่นอนว่าคนที่ต้องทุกข์ใจไปตลอดชีวิตคือเธอ เขาพูดว่า "คนที่ไม่ยอมให้อภัยตัวเองนั้นเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะตลอดชีวิตเขาจะต้องทุกข์ใจไปตลอด ด้วยความรู้สึกโทษตัวเอง"

--
The way back movie trailer :

The Housemaid (2010) : ร้อนฤทธิ์พิษสวาท



The Housemaid (2010)
หนังเกาหลี (Korea : Hanyo - Original title)

ความยาว : 106 นาที ประเภท :Thriller
ผู้กำกับ :Sang-soo Im
บทประพันธ์ : Sang-soo Im (เขียนบท)
ดารานำแสดง : Do-yeon Jeon,Jung-jae Lee และ Seo Woo
รางวัลที่ได้รับ :ชนะเลิศ 3 รางวัล และได้รับการเสนอเข้าชิง 3 รางวัล >> ดูรายละเอียดที่นี่

--

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่นำมาสร้างใหม่จากภาพยนตร์ต้นฉบับสุดคลาสสิกที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉายในเกาหลีเมื่อปี 1960 ของผู้กำกับ คิม กียัง

The Housemaid เป็นเรื่องของหญิงสาวที่เข้ามาทำงานเป็นแม่บ้านในคฤหาสหรูของครอบครัวเศรษฐี  โดยเรื่องราวเริ่มต้นจากการที่ลีอึนยี(Do-yeon Jeon) เธอเป็นหญิงสาววัย 30 ต้นๆ ที่เป็นม่าย และไร้ซึ่งญาติพี่น้องมีแต่เพียงเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว เมื่อได้รับว่าจ้างจากหัวหน้าแม่บ้านของครอบครัวมหาเศรษฐีให้มาช่วยเป็นแม่บ้าน และเลี้ยงลูกให้กับภรรยาสาวสวย (Seo Woo)ของมหาเศรษฐีหนุ่ม (Jung-Jae Lee) ซึ่งเัํธอกำลังตั้งครรภ์ฝาแฝดใกล้คลอด ด้วยค่าจ้างก้อนโต เธอจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล

Doubt (2008) : อานุภาพผู้หญิง กับความระแวง


Doubt (2008)
เรท : PG_13 ความยาว : 104 นาที ประเภท : Drama | Mystery
ผู้กำกับ : John Patrick Shanley
บทประพันธ์/เขียนบท : John Patrick Shanley
ดาำรานำแสดง : Meryl Streep,Philip Seymour Hoffman และ Amy Adams
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศ 13 รางวัล และ ได้รับการเสนอเข้าชิง 36 รางวัล ดูรายละเอียดที่นี่
----

"การนินทา เหมือนการที่คุณขึ้นไปยืนบนหลังคาบ้านทีู่สูงๆ แล้วเอามีดทิ่มแทงหมอนหนุนที่ยัดใส้ด้วยขนเป็ด เมื่อทำไปแล้ว คุณจะไม่สามารถตามไปไล่ตามเก็บขนเป็ดในหมอนที่หลุดออกมา และปลิวกระจายไปทั่วได้หมดทุกชิ้นหรอก นั่นแหล่ะพิษสงของการนินทา"

นี่เป็นประโยคที่บาทหลวงเบรนดอน พูดให้แม่ชีอลอยเซียส โบเวียร์ฟังมันโดนใจฉันอย่างจัง ใช่แล้ว บางครั้งการที่เราพูดอะไรออกไปอาจจะโดยไม่ยั้งคิด ,มีข้อมูลน้อย ,หรืออคติก็ตาม มันส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่เราคิด
---

Doubt เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคปี 1964 ภายในโบสถ์เซนต์นิโคลัสในบรองซ์ บาทหลวงชื่อ เบรนดอน ฟลินน์ (Philip Seymour Hoffman) ถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่ม ซึ่งผู้กล่าวหาและพยายามไต่สวนเรื่องคือ ซิสเตอร์อลอยเซียส โบเวียร์ (Meryl Streep) โดยมีซิสเตอร์เจมส์ (Amy Adams) เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง เพียงแค่ความสงสัยในพฤติกรรมบางอย่างของบาทหลวงฟลินน์ และนำไปกระซิบบอกซิสเตอร์โบเวียร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นครูใหญ่มาอย่างยาวนานของแห่งโบสถ์แห่งนี้

บาท หลวงเบรนดอน ฟลินน์ผู้มีบุคลิกร่าเริง หัวสมัยใหม่ และเพิ่งจะย้ายมาสอนที่นี่ เขาพยายามปรับเปลี่ยนระเีบียบปฏิบัติเก่าๆที่เคร่งครัดของโรงเรียน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ถูกใจคนอนุรักษ์อย่างซิสเตอร์อลอยเซียส โบเวียร์ ครั้นเมื่อคนมาแอบกระซิบบอกว่าบาทหลวงคนนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เธอจึงตัดสินเขาทันทีด้วยความเชื่อส่วนตัวโดยไร้ซึ่งหลักฐานพิสูจน์ และเริ่มทำสงครามกับบาทหลวงฟลินน์ จนในที่สุดก็เรื่องก็บานปลาย และเกิดผลร้ายแรงตามมา
----

ภาพที่ฉันเห็นในหนังเรื่องนี้ เป็นภาพที่เกิดซ้ำๆ ในทุกๆสังคม ถ้ามีใครพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเปลี่ยนสิ่งที่ทำกันต่อเนื่องซ้ำๆ มานาน และเป็นธรรมดาว่าผู้เคยกุมอำนาจส่วนใหญ่จะรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง จึงได้ต่อสู้เพื่อยึดถือวิถีเดิมไว้ เพียงแต่วิธีการกำจัดผู้ที่หาญกล้าลุกขึ้นมาสร้างสิ่งใหม่ๆนั้นจะใช้วิธีใด เท่านั้นเอง

สำหรับสถานที่แห่งศีลธรรมวิํีธีการทำร้ายทำลายที่ดีที่ สุดคือ การทำลายด้วยการประนามว่าไม่มีศีลธรรม และใช้การตัดสินทางจริยธรรมเป็นเครื่องมือ นั่นสำหรับฉันมองว่ามันโหดเหี้ยมมากจริงๆ เพราะมันทำร้ายจิตใจกันอย่างรุนแรงสำหรับคนที่ก้าวเข้ามาฝึกฝนตนเองให้ บริสุทธิ์อย่างนักบวช

แต่การเปลี่ยนแปลง ก็เป็นวัฎจักรของธรรมชาิติ เฉกเช่นพายุที่พัดเข้าใส่โดยไม่เลือกว่าจะเป็นบ้านคน ต้นไม้ หรือภูเขาหิน พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงก็เช่นเดียว ถึงเวลาที่มันพัดมา มันไม่ได้ถูกกำหนดโดยใครว่าเป็นผู้นำพามา แต่เมื่อมันมาแล้ว มันก็พัดแรงเสียจนไม่มีใครที่จะขัดขวางมันได้ การยืนต้านพายุมีแต่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงมากกว่าเดิม

ป.ล: สำหรับผู้แสดงนำทั้งสองล้วนแต่เป็นตัวพ่อ ตัวแม่อยู่แล้ว ทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบ และเป็นหนังเรื่องโปรดของฉันเรื่องหนึ่ง :)

---
Doubt (2008) Movie trailer:
 

Limitless (2011) : ชี้ชะตา..ยาเปลี่ยนสมองคน


Limitless (2011)
เรท :PG_13  ความยาว : 105 นาที ประเภท : Mystery | Sci-Fi | Thriller
ผู้กำกับ : Neil Burger
บทประพันธ์ :Alan Glynn (นวนิยาย) , Leslie Dixon (เขียนบท)
ดารานำแสดง : Bradley Cooper,Anna Friel และ Abbie Cornish
รางวัลที่ได้รับ/เสนอ : ได้รับเสนอเข้าชิงรางวัล 3 รางวัล
---

"ถ้ามีเม็ดยาที่ทำให้สามารถเปลี่ยนตัวเราให้ เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น และรวยขึ้น คุณจะกินมันไหม?" คำตอบคงไม่ต้องเดา เพราะเป็นคำตอบที่คนส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้ว ใครๆ ก็อยากได้ short cut หรือทางลัดที่สั้นที่สุดเร็วที่สุดสู่ความสำเร็จกันทั้งนั้น .. หรือไม่ใช่?

Limitless  เป็นเรื่องของยาวิเศษที่สามารถดึงศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ออกมาใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งได้ใช้มัน และหลังจากนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่ใครๆ ก็อยากได้ยานี้เช่นเดียวกัน


Never Let Me Go (2010) : ขอเราอยู่ด้วยกันนานๆ ได้ไหม


Never Let Me Go (2010)
เรท R เวลาฉาย 103 นาที ประเภท : Drama | Romance
ผู้กำกับ : Mark Romanek
บทประพันธ์ : Kazuo Ishigo (นวนิยาย) ,Alex Garland (เขียนบท)
ดารานำแสดง : Keira Knightley,Carey Mulligan และ Andrew Garfield
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศ 5 รางวัล, ได้รับการเสนอเข้าชิง 20 รางวัล ดูรายละเอียดได้ที่นี่

---

"ถ้าคนเรารู้ล่วงหน้้าว่าเราจะมีเวลาอยู่ร่วมกันกับคนที่เรารักสั้นเหลือเกิน ถ้าเราตะหนักรู้เช่นนั้น เราคงไม่ปล่อยให้กระแสที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นความน้อยใจ โกรธเคือง หรืออารมณ์อื่นๆ มาทำให้เราแยกจากกัน"

Never Let Me Go เป็นหนังที่เล่าเรื่องผ่านมุมมองของเคธี่(Carey Mulligan) โดยเหตุการณ์ทั้้งหลายเริ่มต้นขึ้นในโรงเรียนเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งซึ่งอบรมสั่งสอนเด็กๆว่า พวกเขามีวัตถุประสงค์ของการเกิดมาชัดเจน หรือพูดอีกอย่างคือ พวกเขามีหน้าตั้งแต่เกิด คือเมื่อพวกเขาถึงวัยอันสมควรจะต้องบริจาคอวัยวะให้กับผู้อื่น  (พล๊อตเรื่องแจ่มไหมล่ะ อิอิ) แต่เมื่ออยู่ในวัยเด็กต้องเรียนหนังสือ เรียนศิลปะ และเรียนการแสดงบทเรียนจำลองของชีวิตในโลกนอกโรงเรียนเหมือนเด็กทั่วไป และเมื่ออายุ 18 ก็ถึงเวลาออกจากโรงเรียนไปอยู่ข้างนอก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบริจาคอวัยวะต่อไป

ตัวละครหลักๆ มี 3 ตัวคือ รูท ( Keira Knightley) ,เคธี และ ทอมมี่(Andrew Garfield) ทั้งสามคนเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนาด้วยสายสัมพันธ์ที่ซับซ้อนตั้งแต่ยังเด็ก  พวกเขาทั้งสามสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งจนกลายเป็็นรักสามเส้าที่น่าเศร้าใจ  ความสัมพันธ์อันน่าอึดอันนี้เองที่ทำให้บั่นทอนจนเยื่อใยที่สั่งสมกันมาตั้งแต่เด็กต้องแตกร้าวพังทลายในที่สุด

ผ่านไป 10 ปี ทั้ง 3 คนมีชีวิตไปคนละทาง และในวันที่ชีวิตต้องเดินตามเส้นทางที่ถูกลิขิตไว้ พวกเขาได้มีโอกาสพบกันอีกครัง แต่การพบกันครั้งเป็นการพบกันเพื่อนับเวลาถอยหลัง ... เป็นความร้าวรานที่เลือกไม่ได้ แม้พวกเขาจะพยายามดิ้นรนเพื่อเปลี่ยนแปลงมันแล้วก็ตาม

----

หนังเรื่องนี้เป็นพล๊อตเรื่องที่ล้ำหน้า แต่ก็ใกล้พอที่จะทำให้เราต้องกลับมาทบทวนกันว่า ศีลธรรมกับวิทยาศาสตร์มันไปด้วยกันได้หรือเปล่า ถ้าเราสร้างสรรค์ผลงานทางวิทยการที่ก้าวหน้าแก้ไขข้อบกพร่องของมนุษย์ แต่ทำลายศีลธรรมในใจเราลง เช่นเดียวกับการที่สร้างโคลนนิ่งสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาเพียงเพื่อใช้เป็น อะไหล่อวัยวะเหมือนในหนังเรื่องนี้ (รู้สึกว่าแนวคิดนี้จะเคยถูกเสนอขึ้นในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ และถูกวิพากวิจารณ์กันอย่างมากมายในยุคหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ในที่สุดก็ต้องล้มเลิกไป เพราะมีคนแย้งกันเยอะ พวกเขายอมรับไม่ได้กับแนวคิดไร้มนุษยธรรมเช่นนี้)

กลับมาที่หนังต่อ ขณะดูเรื่องราวของ 3 คนนี้ ฉันอดคิดแบบคนเห็นแก่ตัวว่า ทำไมไม่หนี ทำไมยอมจำนนแบบนั้น ถ้าเป็นฉันคง บลา บลา บลา ... แต่เมื่อได้ดูจนจบก็เข้าใจหลายเรื่อง ถ้าหากชีวิตเราถูกกำหนดว่าเรามีหน้าที่ที่จะทำอะไร สิ่งที่ต้องทำ คือ ทำมันให้ดี ยอมรับมันเหมือนเคธี ทอมมี่ และรูธ ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กในโรงเรียน ฉันเชื่อว่าทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ลูก หน้าที่นักเรียน หน้าที่พลเมือง หน้าที่สามี ฯลฯ นี่คือคุณค่าของการเกิดมา

ชีวิตของคนเราสั้นกว่าที่คิด ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ บางครั้งเราอาจดำรงชีวิตด้วยความประมาท ชะล่าใจว่ายังมีเวลาอีกเยอะที่จะทำในสิ่งที่รัก ที่อยากทำ หรือแม้การทำดีกับคนที่เรารัก แต่แท้จริงชีวิตไม่ได้เป็นอย่างนั้น และการเลือกทำ หรือไม่ทำอะไร มีผลกับชีวิตเสมอ


---
never let me go : movie trailer

I Saw the Devil (2010) : ฉันเห็น ฉันเป็น ปีศาจ


I Saw the Devil (2010)
หนังเกาหลี (Korea : Akmareul boatda - Original Title)

ความยาว : 141 นาที , ประเภทหนัง: Crime | Drama | Horror
ผู้กำกับ: Jee-woon Kim
บทประพันธ์ : Hoon-Jung Park (เขียนบท)
ดารานำแสดง : Byung-hun Lee,Min-sik Choi และ Gook-hwan Jeon
รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศรางวัล Asian Film Award : Best Editor ในงาน Asian Film Awards 2011
--

มีคนกล่าวไว้ว่า “ความพยาบาทเป็นของหวาน ... เพราะมันคือการเอาคืนในสิ่งที่เราถูกกระทำอย่างสาสม มันคือของหวานของจิตใจ" หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้

ฉันหยิบหนังเรื่องนี้มาดูแก้เลี่ยนจากการดูภาพยนต์ ฮอลีวูดมาชุดใหญ่ และหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ฉันต้องนั่งนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลา 2 ชมครึ่ง =_='' เพราะมันลุ้นระทึกตลอดเวลา พลาดไม่ได้แม้สักช่วงหนึ่ง

---
I saw the devil เป็นเรื่องการแก้แค้นกันระหว่าง พระเอกที่เป็นตำรวจหนุ่มนอกราชการ กับตัวร้ายฆาตรกรต่อเนื่องโรคจิต เหตุเกิดจาก ฆาตรกรต่อเนื่องคนนี้ดันไปฆ่าคู่หมั้นของพระเอก ขณะที่เธอกำลังท้องอ่อนๆ อย่างทารุณ เขาจึงต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับฆาตกรที่อยู่ในความสงสัยของตำรวจทั้งหมด และไล่ตามหาความจริงจนครบ และลงมือแก้แค้นอย่างสาสม

Fantastic Mr.Fox (2009) : ครอบครัวจิ้งจอกจอมซ่า (แต่น่ารัก)


Fantastic Mr.Fox (2009)
เรท: PG  ความยาว  : 87 นาที ประเภท : Animation | Adventure | Comedy
กำกับโดย : Wes Anderson
บทประพันธ์ : Roald Dahl (วรรณกรรมเด็ก),Wes Anderson (เขียนบท)
ดารานำแสดง (เสียง) : George Clooney,Meryl Streep และ Bill Murray
รางวัลที่ได้รับ : ถูกเสนอเข้าชิง 2 รางวัลออสการ์ และ 21 รางวัลอื่นๆ , ชนะเิลิศ 22 รางวัล ดูรายละเอียดรางวัลที่นี่

---

หนัง เรื่องนี้สร้างจากหนังสือวรรณกรรมเด็กเรื่อง Fantastic Mr.Fox ของ Roald Dahl ฉันไม่เคยอ่านหนังสือเ่ล่มนี้หรอกนะ แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้หยิบหนังเรื่องนี้มาดู และหลังจากที่ดูจบ ต้องอุทานออกมาเลยว่า "มันสุดยอด!".. ยกให้เป็น 1 ของหนังในดวงใจเลยนะ ฉันตกหลุมรักตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้เลย

Fantastic Mr.Fox เป็นเรื่องของครอบครัว Mr.Fox ที่มีตัวเขา ภรรยา ลูกชาย และหลานชาย (ลูกชายของพี่ชายที่เอามาฝากไว้ เพราะป่วยต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล) หนังเปิดเรื่องมาที่นายฟอกซ์ และภรรยา กำลังพากันขโมยไก่ในเล้าชาวบ้าน แต่พลาดทำให้เขาถูกจับได้ แต่ก่อนที่จะโดนจับได้ ภรรยาบอกเขาว่า "เรากำลังจะมีลูก" แล้วหนังก็ตัดไปถึงปัจจุบันคือลูกชายโตแล้ว อนุมานได้ว่าเขาและภรรยาหนีออกมาได้โดยสวัสดิภาพ

ราว 7-8 ปี(ปีจิ้งจอก) ผ่านไปเขาก็ไม่ได้ไปขโมยไก่ชาวบ้านอีกเลย เพราะว่าได้สัญญากับภรรยาว่าจะไม่ทำอา่ชีพเสี่ยงๆ แบบนั้นอีกแล้ว แต่จิ้งจอกก็เป็นจิ้งจอกวันยังค่ำ สัญชาติญาณของสัตว์ป่าที่รักการผจญภัยอย่างจิ้งจอกมีอยู่ มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะวางแผนเป็นโจรอีกครั้ง.. และนี่เป็นที่มาของเรื่องราวสนุกสนานของหนังเรื่องนี้เพราะดันไปขโมยไก่ งวง,ตับห่าน และเหล้าแอปเปิ้ลหมักของชาวนาผู้ร่ำรวย 3 คน เพราะหลังจากนั้น ชาวนาทั้ง 3 ก็ได้รวมตัวกันวางแผนจัดการกับ Mr.Fox และครอบครัว จนสัตว์อื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นเดือดร้อนกันไปทั่ว

การผจญภัยของ Mr.Fox ในครั้งนี้มันจึงนำมาซึ่งการเรียนรู้เรื่องความผิดชอบของตัวเองในแก้ไขสิ่ง ผิดพลาดที่เกิดจากการตัดสินใจของเขา เราจะได้เห็นความสามัคคีกันแก้ปัญหาของสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในชุมชน การแบ่งหน้าที่กันทำเมื่อยามเกิดปัญหาขึ้นในชุมชน และการเติบโตด้านความสัมพันธ์ของเจ้าหนูน้อย Little Fox 2 ตัว เมื่อต้องผจญภัยร่วมกัน


---

หนังเรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกอิ่มใจ อย่างบอกไม่ถูก และสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้คือ เราสามารถทำในสิ่งที่ไม่เคยทำได้ แต่ต้องวางแผนให้ดี และเมื่อมันผิดพลาดจากแผน ก็แค่รับผิดชอบมัน และหาวิธีแก้ไข
อ่อ ฉันได้เรียนรู้อีกอย่างว่า .. การนั่งสมาธิ เท่ที่สุดเล้ยย ! (โดยเฉพาะเวลาจิ้งจอกตัวเล็กนั่งสมาธิ 555)

็Hello Ghost (2010) : สวัสดี คุณผีจอมจุ้น

Hello Ghost (2010)
หนังเกาหลี (Korean :Hellowoo Goseuteu - Original title)

ความยาว : 111 นาที ประเภท : Comedy|Drama
ผู้กำกับ : Young-Tak Kim
ดารานำแสดง : Tae-Hyun Cha,Kang Hye-Won และ Moon-su Lee

--
หนังเรื่องนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะโด่งดังทั้งในเกาหลีและชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว จนฮอลีวูดซื้อบทไปรีเมคเลยทีเดียว โดยเนื้อหาของหนังนั้นทั้งตลก และดราม่าในขณะเดียวกัน ใน IMDb ให้คะแนนถึง 7.3 แถมคอรีวิวทั้งหลายยังมาเชียร์กันอย่างออกหน้าออกตาว่า เป็นหนังที่ไม่ดูไม่ได้แล้ว ..(ขนาดนั้น)

---

Hello Ghost เป็นเรื่องของชายหนุ่มที่ไม่ได้บอกว่าทำอาชีพอะไร เพราะทั้งเรื่องไม่ได้เห็นฉากไปทำงานเลยสักครั้ง ชายหนุ่มคนนี้ชื่อ ซังมัน (Tae-hyun Cha) ภาพยนต์เปิดฉากมาด้วยการพยายามฆ่าตัวตายของเขา และเรื่องค่อยๆ เปิดเผยมาว่า เขาเป็นคนตัวคนเดียวญาติพี่น้องไม่มี รู้สึกว่าชีวิตนี้มันไร้ค่า ว่างเปล่า น่าหดหู่เสียจริงๆ เลยพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่พยายามเท่าไหร่ๆ ก็ไม่สำเร็จ ให้มีอันต้องแคล้วคลาดเสียทุกครั้ง จนมาถึงครั้งสุดท้าย …

Betty Blue (1986) : เธอกล้า เธอบ้า แต่เธอคือแรงบันดาลใจ


Betty Blue (1986)
หนังฝรั่งเศส (French : 37 ํ2 le matin-original title)
ความยาว :  120 นาที ประเภท : Drama | Romance
ผู้กำกับ Jean-Jacques Beineix
บทประพันธ์ : Philippe Djian (นวนิยาย),Jean-Jacques Beineix (เขียนบท)
ดาราำนำแสดง : Jean-Hugues Anglade,Béatrice Dalle และ Gérard Darmon
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 10 รางวัล,ชนะ 5 รางวัล ดูรายละเอียดที่นี่

---
Betty Blue หรือชื่อหนังภาคภาษาฝรั่งเศสว่า 37°2 le matin (37°2 le matin เป็นภาษาฝรั่งเศส หมายถึง อุณหภูมิ 37.2 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิของทารกในครรภ์มารดาในตอนเช้า)

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ที่ใช้ชีวิตตามหาความฝันของตัวเองที่จะเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ จะว่าไปก็ไม่เชิงตัวเองนักหรอก เพราะเรื่องมันเริ่มคนที่มีความฝันนั้น ถูกผลักดันให้ลุกขึ้นมาสู้ดิ้นรนเพื่อฝัน โดยคนที่เห็นคุณค่าในตัวเขามากกว่าตัวเขาเอง

Don't Move (2004) : หัวใจเธอสวยมาก


Don't Move (2004)
ภาพยนต์อิตาเลี่ยน (์
Italy :Non ti muovere-original title)
125 min - Drama | Romance
ผู้กำกับ:Sergio Castellitto
บทประพันธ์/เขียนบท : Margaret Mazzantini
ดารานำแสดง :Penélope Cruz, Sergio Castellitto และ Claudia Gerini
เกร็ด :หนังดัดแปลงมาจาก Non Ti Muovere นิยายขายดีของ Margaret Mazzantini
---

ฉัน เป็นคนที่สามารถดูหนังซ้ำๆกันได้หลายๆครั้ง และแต่ละครั้งก็จะได้ข้อคิด และความประทับใจที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะหนังเรื่องนี้ ที่ดูครั้งแรกจำไม่ได้ว่าคิดอย่างไร แต่ฉันมั่นใจว่าการดูหนังครั้งนั้นฉันไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนครั้งนี้ อย่างแน่นอน
---

Don't Move เป็นหนังดราม่่าที่ค่อนข้างหนักในความเห็นของฉันเมื่อได้ชมในครั้งแรก แต่ครั้งนี้ดันกลายเป็นหนังโรแมนติกไปเสียได้ ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมันก็เป็นทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ แต่การรับรู้ของฉันดันแยกจากกันเสียอย่างสิ้นเชิง

Lovers of the Arctic Circle (1998) : รักสถิตย์ ณ ดินแดนอาทิตย์เที่ยงคืน


Lovers of the Arctic Circle (1998)
ภาพยนต์สเปน (
Spain: Los amantes del Círculo Polar -Original title)
เรต : R เวลาฉาย : 112 นาที ประเภท : Drama | Mystery | Romance
ผู้กำกับ :Julio Medem
บทประพันธ์/เขียนบท : Julio Medem
ดารานำแสดง :Najwa Nimri, Fele Martínez และ Nancho Novo

ณ ดินแดนเหนือเส้นอาร์ติกเซอร์เคิล ในฤดูร้อนพระอาทิตย์จะไม่ตกดิน ผู้คนจะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ได้ทั้งกลางวันและคืน พวกเขาจึงเรียกที่นั่นว่า ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน และที่นี่เองเป็นสถานที่สถิตย์แห่งรักนิรันดร์ของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง กับชะตากรรมรักที่ไม่อาจปฏิเสธได้

--
Lover of Arctic circle เป็นเรื่องราวความรักของ อนา (Najwa Nimri) กับออตโต (Fele Martínez) พวกเขานั้นได้พบกันครั้งแรกในวัย 8 ขวบ ณ โรงเรีียนประถมเดียวกัน และวันนั้นราวกับชะตาของเขาทั้งสองได้ถูกขีดเส้นกำหนดไว้ด้วยกันแล้ว หลังจากวันนั้น ออตโตกับอนาก็ได้พบกันอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เป็นการพบกันในสถานการณ์ที่แสนจะน่ากระอักกระอ่วนใจ เพราะการพบกันครั้งนี้พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ด้วยเหตุว่าพ่อแม่ของของทั้งคู่ตกลงร่วมชีวิตกัน

ในช่วงที่ทั้งคู่ อยู่ในวัยรุ่นพวกเขาได้เผยความรู้สึกแก่กันละกันว่าต่างฝ่ายต่างมีใจ จนเลยเถิดขึ้นขั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ทั้งๆที่พวกเขาอาศัยอยู่ในชายคาเดียวกันในฐานะพี่น้อง แต่ก็ยังคงลักลอบมีความสัมพันธ์กันเรื่อยมา แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ ที่เลวร้ายเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ออตโตรู้สึกผิดอีกทั้งโทษตัวเองว่าเป็นเขาเป็นต้นเหตุ และนี่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจุดหนึ่งของเรื่อง เพราะเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังเหตุการณ์นี้ รวมถึงหยุดมีความสัมพันธ์อนาโดยสิ้นเชิง 


ในช่วงท้ายๆ ออตโตทำงานเป็นนักบินพาณิชย์ ทำให้เขาต้องบินระหว่างฟินแลนด์และสเปน ทำให้มีโอกาสหวนรำลึกถึงความหลังอีกครั้ง  ส่วนอนาแม้จะพยายามทิ้งอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับชายหนุ่มอีกคน แต่ชะตาก็ทำให้เธอพบกับออตโตอีกครั้ง ณ ดินแดนอาทิตย์เที่ยงคืนแห่งนี้... แต่ชะตาของทั้งคู่จะได้ลงเอยกันหรือไม่ ชมจากภาพยนต์ด้วยตัวคุณเองค่ะ :)

Lemon Tree (2008) :สวนมะนาวเจ้าปัญหา(ของใคร? )


Lemon Tree (2008)
ภาพยนต์อิสราเอล : (Israel : Etz Limon -Original title)
เวลาฉาย : 106 นาที ประเภท: Drama
ผู้กำกับ : Eran Riklis
บทประพันธ์/เขียนบท : Eran Riklis , Suha Arraf
ดารานำแสดง :Hiam Abbass, Rona Lipaz-Michael และ Ali Suliman
รางวัลที่ได้รับ: ดูรายละเอียด


---

ชีวิตช่วงนี้ของฉันเปรียบตัวเองเหมือนเป็นอลิซที่บังเอิญเดินตกลงไปในหลุมโพรงกระต่ายและค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ใน wonderland เพียงแต่แตกต่างกันตรงที่ในโพรงที่ฉันตกลงไปในนั้นไปโผล่ที่ Youtube Land อันเต็มไปด้วยหนังดีๆมากมาย เมื่อฉันเปิดใจก็เหมือนได้เปิดโลกของตัวเอง ในการชมภาพยนต์ไม่ซ้ำประเทศกันเลยทีเดียว...

--
Lemon Tree เป็นเรื่องราวของคนที่อาศัยอยู่ในสองด้านของชายแดนอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีพื้นที่ติดกัน พวกเขาขัดแย้งกันโดยมีชนวนเริ่มต้นมาจากสวนมะนาวเล็กที่ขั้นกลางระหว่าง 2 บ้าน ฝ่ายหนึ่งก็ต้องการกำจัดมันออกไปด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย ส่วนฝ่ายเจ้าของก็มีประวัติศาสตร์ ความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับสวนมะนาวนี้ จึงต้องการรักษามันไว้อย่างสุดชีวิต เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เรื่องราวหลากหลายจึงเกิดขึ้น

Priceless (2006) : ความรักกับเงินล้าน คุณจะเลือกอะไร?


Priceless (2006)
ภาพยนต์ฝรั่งเศส (
France :Hors de prix - original title)
เรต :PG_13 ความยาว : 106 นาที ประเภท : Comedy | Romance
ผู้กำกับ : Pierre Salvadori
บทประพันธ์ :
Benoît Graffin
ดารานำแสดง : Audrey Tautou,Gad Elmaleh และ Marie-Christine Adam

--

ก่อนอื่นฉันขอตั้งคำถามว่า "เงินล้านกับความรัก คุณจะเลือกอะไร" ก่อนที่จะได้นั่งชมภาพยนต์เรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน :)

Priceless เป็นเรื่องราวของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันง่ายๆ และเริ่มต้นจากการตัดสินตัวตนกันและกันแต่เพียงเปลือกนอก โดยฝ่ายหญิงคือไอรีน (Audrey Tautou) สาวน้อยผู้ร่าเริงสดใส เธอมีอาชีพจับผู้ชายรวยๆ โดยไม่สนใจว่าจะหน้าตาอย่างไร อายุเท่าไหร่ ขอเพียงมีเงินสามารถเลี้ยงดูเธอให้สุขสบายได้ก็พอใจแล้ว และวันเกิดปีนี้ของเธอสถานภาพทางการเงินของเธอยังมั่นคงอยู่ เพราะคบกับเศรษฐีชราคนหนึ่ง เขาพาเธอมาพักโรงแรมหรู ซื้อของขวัญราคาแพงให้ แต่ชายชราก็ไม่สามารถให้ทุกอย่างที่เธอต้องการได้ คืนวันเกิดเธอได้รับเพียงแหวนเพชรล้ำค่าแล้วชายชราก็หลับไปปล่อยให้เปลี่ยว ใจจนต้องแอบย่องลงมาที่บาร์ของโรงแรมจนมาพบกับฌอง