วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Marie Antoinette (2006) : มาเรีย อองตัวเน็ต ราชินีวัยรุ่น


Marie Antoinette(2006)
เรต : PG-13 ความยาว : 123 นาที  ประเภท : Biography | Drama | History
ผู้กำกับ : Sofia Coppola
บทประพันธ์/เขียนบท : Sofia Coppola
ดาราำนำแสดง : Kirsten Dust,Jason Schwartzman,Rose Byrne และ Rip Torn
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ 9 รางวัล & ชนะเลิศ 8 รางวัล ดูรายละเอีย
---
เธอแต่งงานตอนอายุ 15  อายุ 19 เธอได้ขึ้นเป็นราชินี  พออายุ 20 เธอกลายเป็นตำนาน นี่คือเรื่องราวของเธอ มาเรีย อองทัวเน็ืท ราชินีที่ใช้ชีิวิตราวกับดาราร๊อค โดยสะท้อนภาพผ่านมุมมองของผู้กำกับหญิงสมัยใหม่ โซเฟีย คอปโปล่า


Marie Antoinette เริ่มต้นเรื่องด้วยฉากที่สาวน้อยในราชสำนัก มาเรีย (Kirsten Dunst) บอกลามารดาเพื่อเดินทางจากออสเตรียมาที่ฝรั่งเศสเพื่อมาพบกับคู่หมั้น หลุยส์ ออกัส และแต่งงานเพื่อเป็นราชินี โดยธรรมเนียปฏิบัติเมื่อเข้าถึงดินแดนฝรั่งศส เธอจำต้องละทิ้งทุกอย่างจากบ้านเมืองเดิม ไม่ว่าจะเป็นข้าทาสบริวาร,หมาที่อุ้มมาด้วย,แม้กระทั่งเสื้อผ้า ก็ต้องถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของฝรั่งเศส เธอกลายเป็นตัวคนเดียวในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย

Case 39 (2009) : อย่าให้เธอรู้ว่าคุณกลัว


Case 39 (2009)
เรต :R ความยาว :109 นาที ประเภท :Horror | Mystery | Thriller
ผู้กำกับ :Christian Alvart

บทประพันธ์ : Ray Wright
ดารานำแสดง : Renee Zellweger,Ian McShane,Bradley Cooper และ Jodelle Ferland

--
ฉัน มีแผ่นหนังเรื่องนี้อยู่นานแล้ว แต่ไม่กล้าดู หรือจะเรียกว่า กลัวที่จะดูก็ได้ เพราะหลายๆ คนบอกว่าหนังเรื่องนี้น่ากลัวมากๆ นี่ขนาดยังไม่ได้ดูด้วยตัวเอง ยังยังทำให้เกิดความกลัวเสียแล้ว :P ..

Case 39 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักสังคมสงเคราะห์หญิง เอมิลี่ (Renée Zellweger) เธอทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาครอบครัว เหตุการณ์เป็นไปอย่างปกติ จนวันหนึ่งเธอได้เข้าไปทำคดีที่ 39 ซึ่งเป็นคดีของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ชื่อ ลิลี่ (Jodelle Ferland) เมื่อเอมิลี่ไปพบกับผู้ปกครองที่บ้านก็พบว่าพ่อกับแม่ของลิลี่มีท่าทางผิด ปรกติ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่มีร่องรอยว่าผู้ปกครองทำร้ายเด็ก จนคืนหนึ่งลิลี่โทรมาหาเอมิลี่เพื่อขอความช่วยเหลือ เธอร่วมมือกับตำรวจที่เป็นเพื่อนสนิท ชื่อ ไมค์ (Ian McShane)เข้าไปช่วยเด็กหญิงได้ทัน ขณะที่พ่อแม่กำลังจับลิลี่ใส่เตาอบ (สงสัยคิดว่าลูกสาวเป็นขนมปัง :P)

Rio (2011) : เจ้านกแก้วฟ้าผจญภัย














Rio (2011)
เรท : G เวลาฉาย : 96 นาที ประเภทหนัง :Animation | Adventure | Comedy
ผู้กำกับ : Carlos Saldanha
บทประพันธ์/เขียนบท : Carlos Saldanha,Earl richey Jones
ดารานำแสดง(เสียง) : Jesse Eisenberg,Anne Hathaway และ George Lopez

--

Rio เป็นเรื่องของ "บลู" นกแก้วมาคอว์สีฟ้า ที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่กับ ลินดาซึ่งเป็นเจ้าของร้านหนังสือในเมืองมินนิโซต้า อเมริกา เดิมบลูนั้นเกิดในป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง มันถูกจับมาขายตั้งแต่ยังเล็กในวันที่พ่อแม่นกกำลังฝึกให้มันบิน แต่มันดันพลัดตกลงมา และถูกจับได้ ระหว่างทางของการขนส่งกรงของมันกระเด็นตกลงมาและได้เจอกับลินดาสมัยยังเป็นเด็ก ลินดาเลี้ยงมันมาจนโตเป็นสาว บลูใช้ชีวิตอยู่กับลินดาแบบนกเลี้ยง ที่ไม่เคยแม้จะหัดบินสักครั้ง ทำให้มันบินไม่เป็น ...

วันหนึ่งมีนักปักษีวิทยาชาวบราซิลผู้ซุ่มซ่าม มาขอให้ลินดาพาเจ้าบลูไปผสมพันธุ์กับนกมาร์คอสีฟ้าเพศเมียอีกตัวที่ชื่อ จีเวล ซึ่งทั้งสองเป็น 2 ตัวสุดท้าย ก่อนจะสูญพันธุ์ ลินดา และบลู จึงต้องเดินทางมาที่เมือง ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล บลู เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของนกมาคอร์สีฟ้าไว้ ไม่ให้สูญไป..

เราจะเห็นฉากที่สีสันสวยงามของบราซิล และงานเทศกาล ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ดูหนังเรื่องนี้แล้วชักจะอยากไปเยือนประเทศนี้สักครั้งในชีวิตเลย เมื่อลินดา และบลูมาถึงริโอ เดอ จาเนโร เจ้าบลูมีเหตุการณ์ที่ต้องพลัดหลงจากลินดา เพราะนกสีฟ้าเพศเมียที่ชื่อ จีเวล ไม่ได้เชื่องอย่างที่คิด เธอพาเขาออกไปสู่โลกใหม่ และต้องเรียนรู้การมีชีวิตแบบนกที่แท้จริงอีกด้วยเพื่อช่วยชีวิตจีเวล และเพื่อนๆ เป็นการผจญภัยที่สอนให้เรากล้าหาญ กล้าที่จะทำในสิ่งใหม่ๆ หนังมีมุขตลกๆ ให้เราขำเล็กๆ เป็นระยะๆ





-- Rio 2011 : Movie Trailer 

Gnomeo & Juliet (2011) :อมตะความแค้น รักที่ต้องห้าม และสงครามในตำนาน



Gnomeo & Juliet (2011)
เรต :G ความยาว : 84 นาที ประเภท : Animation | Adventure | Comedy
ผู้กำกับ : Kelly Asbury
บทประพันธ์/เขียนบท : Rob Sprackling,John R.Smith
ดารานำแสดง (เสียง): Jame McAvoy,Emily Blunt และ Meggie Smith

--
Gnomeo & Juliet เป็นหนังการ์ตูนแอนิมเชั่นของค่าย Touchstone Picture ที่ใช้ไอเดียตัวละครเป็นแบบตุ๊กตาปูนปั้น โดยมีเนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากบทละครที่ได้รับการยกย่องของเชคสเปียร์ เรื่อง Romeo & Juliet ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว ทายาทของ 2 ตระกูลที่เป็นศัตรูกัน

เรื่องเกิดขึ้นบนถนนสายหนึ่งในอังกฤษซึ่งเป็น ที่ตั้งของบ้านตระกูลคาปูเล็ต และ มอนตากิว ทั้งสองบ้านอยู่ติดกัน แต่มีความเห็นขัดแย้งกัน จนเกิดเป็นสงครามย่อยๆ แม้สีของบ้าน ทั้งคู่ก็ยังทาคนละสีกัน ฝ่ายหนึ่งทาสีน้ำเงิน อีกฝ่ายหนึ่งทาสีแดง เมื่อเจ้าของบ้านไม่ถูกกัน ผู้อาศัยอยู่ในบ้านนั้นก็กลายเป็นศัตรูกันไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตุ๊กตาปูนปั้นในสนามหญ้าหน้าบ้าน

ตุ๊กตาเหล่านี้ จะมีชีวิตเหมือนคนในยามที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ ซึ่งกิจกรรมที่ทั้งเจ้าตัวโนม 2 สีนี้ใช้ในการต่อสู้กันคือ การแข่งรถ แต่เป็นรถตัดหญ้าของเจ้าของบ้านนั่นเอง พระเอกชื่อ โนมิโอ เกิดในครอบครัวสีฟ้า เขาอาศัยอยู่กับมารดา และเพื่อนๆ โดยมีชรูม ตุ๊กตาปูนปั้นรูปเห็ดเป็นผู้ช่วย ฝ่ายนางเอกคือ จูเลียต เกิดในครอบครัวสีแดง เธออาศัยอยู่กับพ่อ และมีตุ๊กตาปูนปั้นรูปกบเป็นที่ปรึกษา

ความรักของทั้งคู่เกิดขึ้น เมื่อตอนที่จูเลียตเห็นดอกกล้วยไม้บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งจึงได้แอบออกจาก บ้านมาเด็ดไป หวังว่าจะพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเธอเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ และทำให้พ่อภูมิใจได้ การออกมาจากบ้านครั้งนี้ทำให้เธอได้พบกับเขา โนมิโอ ..

เหมือนดังในบทละครที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ ไม่ได้ลงเอยกันได้ง่ายๆ แน่นอน ต้องผ่านอุปสรรคอีกหลายด่าน ซึ่งหนังทำได้สนุกดี แต่ทั้งคู่ก็มีผู้ช่วย คือเจ้าหงส์พลาสติกสีชมพูที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านร้าง ที่ทั้งคู่ช่วยมันออกมา

มี ประโยคหนึ่งที่หงส์สีชมพูพูดในขณะที่เล่าเรื่องประวัติของตัวเองให้ โนมิโอกับจูเลียตฟัง ฉันชอบมากๆ และเห็นด้วย ข้อความประมาณว่า"อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังของคนอื่น มาทำลายความรักของเรา" เพราะถ้าเราสังเกตให้ดี บางทีเราเองที่พาตัวเข้าไปอยู่ในกระแสแห่งความเกลียดชัง กระแสของความไม่เข้าใจกันของคนอื่นแท้ๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย

ฉันว่าความขัดแย้งมีทุกสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจะมีต่อไปในอนาคต เหมือนในการ์ตูนเรื่องนี้ที่ข้อขัดแย้งของทั้งสองตระกูลเกิดขึ้นมาแล้วยาว นาน จนมาถึงรุ่นลูกอย่างโนมิโอ และจูเลียต ที่ได้คำพูดของหงส์สีชมพูพูดเตือนสติว่า "แท้จริงแล้วเราแก้ไขมันได้" นั่นก็คือ ไม่ว่าใครจะเกลียดชังกัน ใครแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน แต่เราเปลี่ยนสถานการณ์นั้นได้ โดยเริ่มจากตัวเราเอง ที่ไม่พาตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้น

ฉัน ชอบหนังการ์ตูนเรื่องนี้มาก อาจเป็นเพราะฉันชอบสวนสวยๆ ในหนัง และตัวตุ๊กตาปูนปั้นน่ารักๆ ที่เอามาทำเป็นตัวละคร ดูแล้วรู้สึกว่ามันมีชีวิตจิตใจจริงๆ ฉันชอบที่หนังพยายามใส่เรื่องของการแตกหักของตุ๊กตาปูนปั้นเข้ามาในแง่ที่ ว่า การแตกหักของตุ๊กตาหมายถึงชีวิตของตุ๊กตานั้นเลย ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้เรา หรือเด็กๆ ของเราที่ดูหนังเรื่องนี้รักษาของมากขึ้น ... ฉันอาจจะคาดหวังมากเกินไป แต่อย่างน้อยการที่หนังใส่เรื่องนี้เข้ามา ก็ทำให้ฉันตระหนักเรื่องการรักษาข้าวของมากขึ้นละนะ
--
Gnomeo & Juliet (2011) : Movie Trailer

The Man from Nowhere (2010) : ชายปริศนาผู้มาพิทักษ์เธอ


The Man from Nowhere (2010)
หนังเกาหลี (Korea : Ajeossi - Original Title)

เรต : R เวลาฉาย : 119 นาที ประเภท: Action | Crime | Thriller
ผู้กำกับ : Jeong-beom Lee
บทประพันธ์/เขียนบท : Jeong-beom Lee
ดารานำแสดง : Bin Won,Thanayong Wongtrakul และ Sae-ron Kim

 ---
 
ฉันเพิ่งดูหนังเรื่องนี้จบ ตอนแรกก่อนที่จะดูไม่คิดว่าจะเขียนลงในบลอคนี้ เพราะคิดว่าคงเป็นหนังบู๊ ล้างผลาญเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ที่ไหนได้ ดูจบแล้วได้รู้ว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าที่คิดอีกเยอะ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันอยากเขียนถึง

The Man from Nowhere
เป็นหนังเกาหลีที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ ชา แต ซิก (Bin Won) เขาเปิดโรงรับจำนำ ตอนต้นเรื่องเราจะเห็นเด็กหญิงเอาเครื่องเล่น MP3 มาจำนำ เธอชื่อจอง ซูมิ (Sae-ron Kim) บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้เรารู้ว่า เด็กหญิงมักมาอาศัยคลุกคลีกับเขาเป็นประจำ เพราะว่ามารดาของเธอไม่สนใจจะดูแล มารดาของเด็กหญิงนั้นทำงานเป็นแดนเซอร์ในบาร์แห่งหนึ่ง แม้ว่าเธอจะไม่ชอบใจนักที่ซูมิมาคลุกคลีอยู่กับชายหนุ่ม แต่ด้วยฐานะทางการเงินที่ย่ำแย่ ทำให้เธอต้องพึ่งพาอาศัยโรงรับจำนำของเขาเช่นกัน และในวันนี้เธอเอากล้องถ่ายรูปมาจำนำที่โรงรับจำนำของเขา

The Whistleblower (2010) : ผู้หญิงที่เป่านกหวีดให้โลกรู้


The Whistleblower (2010)
เรต :R เวลาฉาย : 112 นาที ประเภท: Drama
ผู้กำกับ : Larysa Kondracki

บทประพันธ์/เขียนบท : Larysa Kondracki,Eilis Kirwan
ดารานำแสดง : Rachel Weisz,Monica Bellucci,David Strathairn และ Vanessa Redgrave
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิง 3 รางวัล & ชนะเลิศ 4 รางวัล ดูรายละเอียด
เกร็ด : สร้างจากประสบการณ์จริงของแคเธอรีน บอลโคแวค (Kathryn Bolkovac)
----
คำโปรยของภาพยนต์เรื่องนี้เขียนไว้ว่า ไม่มีอะไรอันตรายมากไปกว่าความจริงที่ถูกเปิดเผย เพราะว่าเมื่อเราได้รับรู้ความจริงนั้นแล้ว จะพบว่ายังมีความชั่วร้ายอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกปิดบังเอาไว้จากการรับรู้ของ ผู้คน นอกจากนั้นยังเป็นความจริงที่น่าตกใจที่ว่า เรื่องเลวร้ายเหล่านี้ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด

The Whistleblower หมายถึง การที่คนหรือกลุ่มคน รายงานการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ผิดจริยธรรม ขององค์กรใดองค์กรหนึ่งให้คนอื่น ๆ รู้ ซึ่งเป็นเนื้อหาในภาพยนต์เรื่องนี้ด้วย โดยตัวละครเอกคือ แคเธอรีน บอลโคแวค (Rachel Weisz) เธอเป็นตำรวจหญิงชาวอเมริกัน ที่เข้ามาทำงานเป็นกองรักษาสันติภาพในช่วงหลังสงครามบอสเนียของสหประชาชาติ

เมื่อ เริ่มเข้ามาทำงานในหน้าที่นี้เธอได้รับรู้ความจริงอันโหดร้ายว่า ภายหลังสงครามสงบลงนั้นแผ่นดินไม่ได้สงบจริง กลับกลายเป็นว่ามีโสเภนีกระจายตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็วราวกับเชื้อมะเร็งร้ายที่ นี่ เพียงเพราะว่าผู้ชายลดจำนวนลง พวกเธอจึงต้องมาเป็นเหยื่อที่ทารุณ ไม่ใช่แค่ต้องเป็นโสภนีเท่านั้น แต่พวกเธอกลายเป็นทาสไปด้วย

ด้วย ความเป็นแม่ที่มีลูกสาว ถึงแม้จะต้องแยกจากกันเพราะศาลสั่งให้ลูกสาวของเธออยู่กับอดีตสามีแทน แต่แคเธอรีนก็สวมหัวใจแม่ในการช่วยเหลือผู้หญิงเหล่านั้นสุดชีวิต แต่ยิ่่งช่วย ยิ่งเข้าไปรับรู้ความจริงอันโหดร้ายกว่าที่ว่า กระบวนการค้ามนุษย์ของที่นี่ล้วนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

ในการพยายามเปิดเผยความ จริงนี้ให้โลกรู้ เธอต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย เพราะเจ้าหน้าที่ที่ทำความผิดเหล่านั้นมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ แต่ก็ยังโชคดีที่มี เมดิลีน (Vanessa Redgrave) หัวหน้าแผนกของเธอ และปีเตอร์ (David Strathairn) เจ้าหน้าที่ปราบปรามทุจริต คอยช่วยเหลืออยู่

ฉันตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นดารารุ่นเก่าฝีมือเก๋าๆ หลายคนร่วมแสดงด้วย ถึง Monica Bellucci ซึ่งรับบทลอร่า เจ้าหน้ากฎหมายของยูเอ็น จะโผล่มาแว่บๆ และมีบทบาทไม่เยอะ แต่ก็พอทำให้หายคิดถึงเธอกันไปได้บ้าง

แม้เนื้อเรื่องจะค่อนข้าง หนัก หดหู่ แต่ก็เป็นความจริงของโลกมุมหนึ่ง ที่ปัจจุบันไม่สามารถซ่อนไว้ได้อีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทำให้ความลับไม่มีในโลก และเมื่อถึงเวลาเปิดเผยขึ้นมาก็สามารถทำให้การรับรู้ของคนในโลกสะเืืทือนได้ เหมือนกัน แต่ก็ต้องอาศัยความกล้าหาญของคนกลุ่มหนึ่งที่จะกล้าหยิบนกหวีดออกมาเป่าให้ โลกรู้ ดังเช่นนางเอกของเรื่อง

ตอนท้ายหนังบอกความจริงว่า "การค้ามนุษย์คือ หนึ่งในอุตสาหกรรมผิดกฎหมายที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ประมาณว่าทั่วโลกมีคน 2 ล้าน 5 แสนค้นที่ถูกซื้อขาย" ที่น่าตกใจคือ ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อจะถูกหลอกโดยคนใกล้ชิดที่ไว้วางใจที่สุด และเรื่องราวเหล่านี้ยังคงมีอยู่ต่อไปถ้ามนุษย์เรายังมองไม่เห็นคุณค่าของ ความมนุษย์ด้วยกัน ..
--
The Whistleblower (2010): Movie Trailer

Despicable Me (2010) :มิสเตอร์แสบหัวใจหน่อมแน้ม


Despicable Me (2010)
เรท : PG ระยะเวลาฉาย : 95 นาที ประเภท: Animation | Adventure | Comedy
ผู้กำกับ:Pierre Coffin, Chris Renaud
บทประพันธ์/เขียนบท : Conco Paul,Ken Daurio
ดารานำแสดง(เสียง) : Steve Carell,Jason Segel และ Russel Brand
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิง 14 รางวัล & ชนะเลิศ 2 รางวัล ดูรายละเอียด

--
หนังการ์ตูนเรื่องนี้ เป็นหนังที่ดูสนุกๆ ที่ดูสบายๆ,เต็มไปด้วยมุขตลกร้าย และการเล่นคำที่ฟังแล้วขำๆ ดี ส่วนการดำเนินเรื่องก็ค่อนข้างซับซ้อนในช่วงแรกๆ แต่ก็มาเฉลยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นในตอนท้ายเรื่อง

Despicable Me  เป็นเรื่องราวของชายชื่อ Gru ผู้ซึ่งถูกมารดาสั่งสอนตั้งแต่เล็กว่าให้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับโลกใบนี้ แต่สิ่งที่มหัศจรรย์ที่ว่า่น่ะ ต้องผลิตมาเพื่อสร้างความทุกข์ยากให้ผู้คน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็เฝ้าเพียรสร้างคิดค้นเจ้าสิ่งที่ว่าตลอด จนวันหนึ่งเกิดไอเดียสุดยอดขึ้นมาว่า เขาจะสร้างยานเพื่อไปขโมยพระจันทร์มาเก็บไว้เป็นของตัวเอง ภายในส่วนหนึ่งของบ้านของเขา มีห้องแล๊ปเพื่อคิดค้นงานใหม่ๆ โดยมี Dr. Nefario เป็นผู้ช่วยเหลือ โดยนิสัยของนาย Gru นี้ค่อนข้างจะใจร้้ายชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ชาวบ้านชาวช่องจึงรังเกียจเขากันหมด นอกจาก Dr. Nefarioแล้ว เขามีเหล่าสมุนหุ่นยนต์สีเหลืองเท่านั้นที่คอยพูดคุยกับเขา เจ้าตัวหุ่นยนต์สีเหลืองนี่น่ารักดี มันตลกตรงที่จะคอยพูดภาษาคนผิดๆ ถูกๆ อยู่เรื่อย เวลาเจ้านายใช้มันไปซืั้้อของอย่างหนึ่ง มันก็ไปซื้อมาอีกอย่าง เพราะมันเรียกชื่อไม่ถูกนี่เอง :D

ส่วนตัวร้ายของเรื่องคือ ชายที่ชื่อว่า Vector เดิมเขาก็เป็นคนปกติไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่มีเหตุการณ์ในวัยเด็กได้รับคำยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะจากเหตุการณ์บังเอิญ เหตุการณ์หนึ่ง และได้รางวัลอยู่เรื่อยๆ เขาจึงโตขึ้นมาเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นที่เก่งกาจที่แล้วก็จะต้องไปมีเหตุให้ มีปัญหากับนาย Gru อยู่เรื่อยๆเช่นกัน เพราะทั้งสองแข่งกันเป็นประดิษฐ์ที่เก่งที่สุดในโลก

ถ้าหากเรื่อง ดำเนินไปเรื่อยๆ เช่นนี้ก็ไม่ีมีอะไรแปลกใช่ไหม มันต้องเพิ่มเรื่องราวอีก นั่นคือ มีเด็กกำพร้าพี่น้อง 3 คน อยู่บ้านเด็กกำพร้า ทั้งสามถูกใช้แรงงานราวกับทาสให้ออกมาขายคุ้กกี้ทุกวัน วันหนึ่งนาย Gru เห็นว่า การจะเข้าไปขโมยของสำคัญในบ้านของ Vector ได้นั้น ต้องอาศัยเด็ก 3 คนที่เข้าไปขายคุกกี้นี่แหล่ะ เพราะระบบการรักษาความปลอดภัยที่บ้านนั้นเข้มงวดมาก เขาจึงวางแผนไปขอรับเด็ก 3 คนนี้มาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม หวังผลว่าจะผลิตหุ่นยนต์คุกกี้แล้วให้เด็กพวกนี้เอาเข้าไปขายในบ้านของ Vector..

เรื่องชักเริ่มสนุกแล้วใช่ไหมล่ะ :) หลังจากนี้ไปจะเป็นหัวใจของภาพยนต์เรื่องนี้ นั่นคือ เมื่อนาย Gru ผู้โดดเดี่ยว และไม่เคยได้ความรักจากแม่ ต้องมากลายเป็นคุณพ่อจำเป็นที่มีลูกติด 3 คน ทั้งซนทั้งแก่น แถมขี้อ้อนสุด Gru จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนใจร้าย เพราะเด็กพวกนี้ หรือว่าจะคงดำเนินตามแผนการณ์ต่อไป บทเฉลยนั้นเดาทางได้ไม่ยาก เพราะเป็นแพทเทิร์นสำหรับหนังเด็กอยู่แล้ว 555 แต่เราจะได้ความสนุก และซึ้งใจไปกับความสัมพันธ์ของพวกเขา ระหว่างผู้ใหญ่ตัวโตที่ขาดแคลนความรัก กับเด็กๆ ที่โหยหาความรัก พวกเขาจะเติมเต็มกันได้อย่างไร นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้สัมผัสขณะชมภาพยนต์เรื่องนี้

Diary of a Wimpy Kid (2010) : ช่วงชีวิตที่ถูกมองว่าเป็นเด็กไม่เอาถ่าน


Diary of a Wimpy Kid (2010)
เรต :PG เวลาฉาย : 94 นาที ประเภท : Comedy | Family
ผู้กำกับ : Thor Freudenthal

บทประพันธ์/เขียนบท: Jackie Filgo,Jeff Filgo
ดารานำแสดง : Zachary Gordon,Robert Capron,Chloe Grace Moretz และ Racheal Harris
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิง 7 รางวัล & ชนะเลิศ 3 รางวัล ดูรายละเอียด
--
หนัง เรื่องนี้มีประโยควรรคทองอยู่ประโยคหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนความคิดเสีย ใหม่ี่จากที่เคยคิดว่าหนังเด็กเป็นหนังไม่มีสาระอะไร ดูเพลินๆไปก็แค่นั้น ประโยคนี้เป็นคำพูดท้ายเรื่องที่สื่อความหมายได้ว่า "เมื่อเราโตขึ้นเราอาจจะมองว่าเรื่องปัญหาของเด็กๆ เกี่ยวกับเพื่อนหรือที่โรงเรียน เป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับเด็กในวัยนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นชีวิตของพวกเขาเลย" นี่เป็นจุดสำคัญว่าทำไมผู้ปกครองส่วนใหญ่ถึงเข้าไปไม่ถึงโลกของเด็กๆ

Diary Of A Wimpy Kid เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่กำลังจะ้ก้าวสู่วัยรุ่นชื่อ เกร๊ก เฮฟรี่ (Zachary Gordon) เขาเพิ่งจนพ้นการเรียนระดับประถมเข้าสู่มัธยม ซึ่งก่อนจะพบกับเหตุการณ์จริงในโรงเรียนก็ถูกพี่ชายจอมซ่าส์ขาร๊อค รอดดิ๊ก เฮฟวี่ (Devon Bostick) ทั้งขู่ทั้งกดดันว่าชีวิตในชั้นเรีียนมัธยมน่ะแสนจะโหดร้าย รับรองนายอยู่ได้ไม่ถึงเทอมแน่ๆ

แต่หนุ่มน้อยเกร๊กแม้จะตัวเล็กแต่ ใจเด็ดไม่หวาดหวั่นประการใด แถมยังตั้งเป้าว่า จะพิชิตตำแหน่งมิสเตอร์ป๊อปปูล่าร์ที่สุดในชั้นเรียนให้ได้ปลายเทอมอีกด้วย เกร๊กมีเพื่อนสนิทเป็นคู่หูคนหนึ่งชื่อว่า โรวลี่ เจฟเฟอสัน (Robert Capron) เขามีรูปร่างอวบอ้วน แถมยังมีนิสัยเหมือนเด็กซึ่งเกร็กต้องคอยสอนอยู่เรื่อยๆ เรื่องการปฎิบัติตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น(เอ่อ หนูเพิ่งเรียนมัธยมนะ +_='')

เขา เริ่มเขียนไดอารี่ประจำวันเนื่องจากมีความฝันว่า เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสีียงในอนาคต เมื่อมีนักข่าวมาถามถึงประวัติในวัยเด็กของเขา ก็จะได้ยื่นสมุดไดอารี่เล่มนี้ให้ซะเลย ไม่ต้องเสียเวลาตอบให้มากความ ดังนั้นเขาจึงต้องบอกให้รู้กันซะก่อนนะว่า "นี่ไม่ใช่ diary แต่มันคือ journal!" (แม้จะต้องกำชับกับแม่ว่าห้ามซื้อสมุดบันทึกที่มีปกเขียนว่า "ไดอารี่"มาให้) นี่คือที่มาของหนังเรื่องนี้

เมื่อเข้าเรียนชั้น มัธยมจริงๆ เขาพบว่ามีสิ่งต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้อย่างมากมาย รวมถึงเพื่อนในชั้นเรียนที่มีนิสัยต่างๆ กันด้วย ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยแองจี้ (Chloe Moretz) ที่อยู่ในชมรมนักข่าวมักจะถ่ายภาพเขาตอนทำเรื่องน่าอายลงวารสารของโรงเรียน เป็นประจำ , ชีรัค(Karan Brar) ผู้มีร่างเล็กแคระแกร็น ซึ่งเป็นคนเล่าเรื่องตำนานชีสต้องคำสาปให้ฟังว่า ถ้าใครเผลอไปแตะเจ้าชีสแผ่นนี้ นักเรียนทั่วโรงเรียนจะรังเกียจ และพากันหลบหน้า แต่เจ้าชีสนี้เองภายหลังเป็นตัวพิสูจน์ความกล้าหาญให้กับเกร็กจนเรื่องราว ทั้งหลายจบได้อย่าง Happy Ending

เรื่องราวของเกร็กยังมีอีกมากมาย ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้รู้จักคำว่ามิตรภาพและเพื่อนแท้ สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด สุดท้ายได้เรียนรู้ว่า ชีวิตวัยเรียนมันก็แค่ช่วงวัยหนึ่งเท่านั้นแหล่ะ แล้วมันก็จะผ่านไป สิ่งที่เก็บเกี่ยวไว้กับวันเวลาควรจะเป็นเรื่องราวที่ดีๆเ่ท่านั้น

ฉัน ดูหนังเรื่องนี้ไปพร้อมกับนึกถึงชีวิตในวัยเรียนของตัวเอง ไม่ต่างกับเกร็กที่สมัยนั้นทะเลาะกับเพื่อนบ้าง งอนกันบ้าง ด้วยเรื่องไร้สาระ หรือเข้าใจผิดกัน พอวันนี้โตขึ้นถึงได้เข้าใจว่า ทำมิตรภาพระหว่างเพื่อนหล่นหายไปกลางทาง วันนี้แม้อยากจะกลับไปขอโทษกับเพื่อนบางคน ก็ยากเสียแล้ว เพราะต่างคนต่างก็มีชิีวิตของตัวเอง ทำให้ไกลห่างกันไป จนต่อกันไม่ติดเสียแล้ว ...

--Diary of a Wimpy Kid (2010) : Movie Trailer

Orca (1977) : วาฬเพชฌฆาต


Orca (1977)
เรต : PG ความยาว :92 นาที ประเภท : Adventure | Horror | Thriller
ผู้กำกับ : Michael Anderson
บทประพันธ์/เขียนบท : Luciano Vincenzoni, Sergio Donati,
ดารานำแสดง: Richard Harris, Charlotte Rampling และ Will Sampson

--
"วาฬ เพชฌฆาต สัตว์ที่ทรงพลังที่สุด มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดที่พบในทะเลทุกแห่ง ชาวโรมันเรียกมันว่า "ออร์ก้า ออร์คินัส" ชาวละตินเรียกมันว่า "ยมฑูต" หางและครีบของมันทำให้ออร์ก้าเป็นวาฬที่ว่ายน้ำได้เร็วทีุ่สุดในมหาสมุทร ตัวผู้ที่โตเต็มที่จะมีขนาดประมาณสามสิบฟุต และหนักหกตันจนไปถึงสี่สิบห้าฟุต ในปากของออร์ก้ามีฟันสี่สิบแปดซี่ที่เรียงกันอยู่สองแถว

ด้วยนิสัย คล้ายมนุษย์ของมัน จึงทำให้มันมีสัญชาตญาณของการพยาบาท สิ่งที่น่าทึ่งของสัตว์ชนิดนี้ไม่ใช่ทั้งความเชื่องและความป่าเถื่อนแต่อยู่ ที่สมอง เรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับศักยภาพสมองของมัน เรารู้แค่ว่ามันอายุยืน และทรงพลังซึ่งอาจจะพูดได้ว่าวาฬเหนือกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ พวกมันสื่อสารกันโดยการผสมเสียงและสะท้อนกลับเป็นโซนาร์ให้เป็นภาษาของตัว เอง ทำให้ไม่ใช่ได้ยินแค่ในมหาสมุทรเดียวเดียวเท่่านั้น แต่สามารถได้ยินไปทั้งโลก.."

Chocolat (2000) : หวานนัก...รักชอคโกแลต


Chocolat (2000)
เรท:PG-13 ความยาว : 121 นาที : ประเภท : Drama,Mystery,Romance
ผู้กำกับ : Lasse Hallstrom
บทประพันธ์ /เขียนบท : Joanne Harris,Robert Nelson Jacobs
ดารานำแสดง : Juliette Binoche,Judi Dench และ Johnny Depp
รางวัลที่ไ้ด้รับ : ได้รับเข้าชิงรางวัลออสการ์ 5 รางวัล,อื่นๆ 28 รางวัล ชนะเลิศ 8 รางวัล ดูรายละเอียด
--
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในฝรั่งเศสที่ทุกคนเชื่อใน "ความเงียบสงบ"ถ้าคุณอยู่ในหมู่บ้านนี้ คุณจะเข้าใจว่าผู้คนที่นี่คาดหวังอะไรจากคุณ, คุณจะรู้กาละเทศะในเรื่องต่างๆ และถ้าคุณลืม ก็จะมีคนคอยช่วยเตือน ในหมู่บ้านนี้ถ้าคุณบังเอิญไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น คุณควรเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ถ้าคุณผิดหวังในสิ่งที่คุณหวัง คุณควรเรียนรู้ที่จะไม่ขออะไรมาก ดังนั้นทั้งยามทุกข์ สุข ชาวบ้านยังคงยึดถือตามประเพณีอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งวันหนึ่งในฤดูหนาว ลมหนาวพัดกรรโชกมาอย่างแรง ..

Chocolat เป็นเรื่องราวในหมู่บ้านแห่งนี้ที่เคยอยู่กันด้วยวิถีชีวิตดั้งดิมที่คุ้นชินมาตลอด แต่พลันเปลี่ยนแปลงไปเมื่อลมหนาวจากทิศเหนือพัดเอาหญิงสาว (Juliette Binoche) และลูกสาวก้าวเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ เธอมาเช่าตึกแห่งหนึ่งโดยชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายชอคโกแลต และด้านบนใช้พักอาศัย ในขณะเตรียมเปิดร้าน ผู้คนในหมู่บ้านต่างสนใจแวะเวียนกันมาแอบดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ร้านชอคโกแลตที่ตกแต่งด้วยรูปปั้น,และสิ่งของสไตล์ชนเผ่ามายาของเธอเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฤดูถือศีลอดของชาวบ้านในเมือง นั่นยิ่งทำให้ท่านเคาน์ผู้มีอิทธิพล (Alfred Molina) ขุ่นเคืองใจ เขาเป็นคนเคร่งครัดขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา จึงต่อต้านหญิงสาวทุกรูปแบบ ที่ำสำคัญคือเขามักจะกระจายเรื่องของเธอในทางไม่ดีให้กับชาวบ้าน และห้ามไม่ให้พวกเขาติดต่อกับเธอ

ขณะที่เปิดร้านชอคโกแลตในเมืองนี้ เธอกับลูกสาวได้ช่วยเหลือเหล่าบรรดาภรรยาที่มีปัญหากับสามีไว้หลายคนด้วยการใช้ชอคโกแลต และถั่วพื้นเมืองของเผ่ามายา นอกจากนั้นยังสานสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของหญิงชราเจ้าของตึกที่ให้เธอเช่า (Judi Dench) กับลูกสาว (Carrie-Anne Moss) และหลานชาย ไว้ได้อีกด้วย

จนวันหนึ่งมีเรือของเหล่าโจรสลัดมาจอดเทียบท่าริมฝั่งแม่น้ำของเมืองนี้ ทำให้เธอได้รู้จักกับโจรสลัดหนุ่ม (Johnny Depp) เธอและเขามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ชะตาชีวิตที่ต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ อันถูกสืบทอดมารุ่นต่อรุ่นตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่สูตรชอคโกแลตของเผ่ามายาให้กับผู้คน

และเมื่อลมเหนือพัดมาอีกครั้ง.. ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องเดินทางต่อไป

---

ปกติฉันไม่ชอบกินชอคโกแลต เพราะไม่ชอบรสขมหวานของมัน แต่ขณะดูหนังเรื่องนี้รู้สึกน้ำลายสอ ด้วยว่าร้านชอคโกแลตของนางเอก มีชอคโกแลตสูตรแปลกๆ ที่น่าลองลิ้มเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งการตกแต่งร้านก็ทำได้น่ารัก ดูแล้วอยากมีร้านเล็กๆ แบบนี้เป็นของตัวเอง ร้านที่เป็นเหมือนห้องรับแขกให้ผู้คนที่มีปัญหาเข้ามานั่งพักใจ อย่างที่นางเอกในเรื่องนี้ทำ

เธอสามารถแก้ปัญหาให้คนจำนวนมาก โดยวิธีการเพียงแค่ นั่งฟังพวกเขา จากที่ฉันสังเกตเธอแทบไม่ได้พูดแนะนำอะไรเลย นอกจากนั่งฟังให้พวกเขาพูดถึงปัญหาตัวเองก่อน หลังจากนั้นเธอก็ให้ดื่มชอคโกแลตรสชาติต่างๆ หรือไม่ก็ขนมเค้กชอคโกแลต พอพวกเขาอารมณ์ดี สบายใจ ก็จะคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาได้เอง ซึ่งเป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด เพราะเจ้าของปัญหาย่อมรู้ดีที่สุด

หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังที่เล่าเรื่องได้อย่างน่ารัก ภาพเมืองเล็กๆ ที่มีระเีีบียบสวยงาม ผู้คนยังใกล้ชิดกัน ถึงจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่มาใหม่ กับคนที่อยู่มาก่อนเข้าใจกันยากสักหน่อย แต่บางครั้งการจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าดี ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลา ขอเพียงอย่าเพิ่งท้อแท้ใจ ยอ่มมีคนมองเห็นความตั้งใจที่ดีอย่างแน่นอน  ...

--- Chocolat (2000) : Movie Trailer

Orphan (2009) : เด็กอันตราย



Orphan (2009)
เรท:R ความยาว : 123 นาที ประเภท : Thriller
ผู้กำกับ : Jaume Collet-Serra
บทประพันธ์/เขียนบท : David Johnson,Alex Mace
ดารานำแสดง : Vera Farmiga,Peter Sarsgaard และ Isabelle Fuhrman
---

ไม่รู้ว่าคุณจะคิดเหมือนฉันไหมที่่ว่า ไม่ว่าหนังสยองขวัญสั่นประสาทเรื่องไหนที่เกี่ยวกับเด็กๆมันจะดูน่ากลัวกว่าปกติ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น หรือว่าอาจจะเป็นเพราะเรามีภาพในใจที่ว่าเด็กคือผ้าขาว พวกเขาล้วนสะอาดบริสุทธิ์ พอทำเรื่องโหดๆ ถึงดูขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิม เลยทำให้น่ากลัว ฉันเดาว่าอย่างนั้นนะ หนังเรื่องนี้ก็เข้าข่ายอย่างที่พูดมา

Orphan เป็นเรื่องราวของครอบครัวๆ หนึ่งที่รับเด็กหญิงจากบ้านเด็กกำพร้ามาเลี้ยง และได้พบว่าตั้งแต่เด็กหญิงคนนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย  หนังเปิดเรื่องมาให้เราเห็นครอบครัวๆ หนึ่งอันประกอบด้วย สามีหนุ่ม จอห์น (Peter Sarsgaard) ภรรยาสาว เคท(Vera Farmiga) และลูกชายคนโตเดนี่ยล และ สูกสาวคนเล็ก แมกซ์ พวกเขาเพิ่งผ่านพ้้นภาวะวิกฤตในครอบครัวมา เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้เคทเคยแท้ง ด้วยความเสียใจทำให้เธอติดสุรา จนพาแมกซ์ตกน้ำทำให้หูของแมกซ์ไม่ได้ยินอีกต่อไป  หลังจากอะไรๆ เริ่มดีขึ้นเคทบำบัดอาการติดสุราสำเร็จ จึงมีความเห็นร่่วมกันว่า ควรจะไปรับเด็กหญิงอีกคนมาเลี้ยง

พวกเขาจึงไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยบุคลิกที่โดดเด่น ฉลาดเกินวัย หน้าตาน่ารักของเอสเธอร์ (Isabelle Fuhrman) จอร์นและเคทจึงตัดสินใจบอกรับเลี้ยงเธอโดยไม่รอเอกสารให้เรียบร้อยใดๆ ทั้งสิ้น ภายในวันนั้นพวกเขาพาเอสเธอร์กลับมาที่บ้านทันที

หลังจากที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง เคทค้่นพบว่าทุกอย่างรอบตัวเธอกำลังเปลี่ยนแปลงไป ทุกคนเข้าใจเธอผิด แถมเอสเธอร์ที่น่ารักก็มีท่าทีแปลกๆ  ยิ่งนานวันสมาชิกในบ้านเริ่มพบกับปัญหาขึ้นเรื่อยๆ เคทจึงเริ่มสืบหาความจริงเกี่ยวกับเด็กหญิงที่รับเข้ามา .. และได้พบความจริงอันน่าสพรึงกลัว

--
หนังเรื่องนี้ดูสนุก และค่อนข้างหักมุม ในตอนแรกที่ดูเราคิดว่าพล๊อตเรื่องก็คงคล้ายๆ กับเรื่องอื่นที่เคยดูมา แต่ปรากฎว่าผิดคาดมากๆ ประกอบกับดาราที่มาแสดงเก่งมากๆ ทุกคนไม่ว่าเด็กยันผู้ใหญ่ แม้กระทั่งเด็กที่เล่นเป็นใบ้ก็ยังแสดงเก่งมากๆ หนังเรื่องนี้จึงทำให้เราเชื่อได้ง่ายๆ

ดูหนังจบก็อดคิดไม่ได้ว่า สมัยนี้อะไรๆ ก็อันตรายไปหมด ฉันหมายถึงการคบคน,การช่วยเหลือคนก็ยังอันตราย เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ขนาดดูว่าเป็นเด็กไร้พิษสงยังอันตรายได้เลย ถ้าไม่ตรวจสอบดีๆ ไม่แปลกอะไรที่คนในยุคนี้ถึงขอความช่วยเหลือกันยาก ไม่ใช่ไม่มีน้ำใจแต่ว่าเพราะว่าสังคมทำให้คนดีท้อแท้ต่างหากล่ะ .. รู้สึกฉันจะบ่นมากไปล่ะ นี่มันหนัง thriller นะ (สงสัยจะอินเกินไป ฮ่า ฮ่า)

--
Orphan 2009 : Movie Trailer

Vanity Fair (2004): สู่ฝันวันเกียรติยศ


Vanity Fair(2004)
เรท PG-13  ความยาว : 141 นาที  ประเภท :  Drama | Romance
ผู้กำกับ : Mira Nair
บทประพันธ์/เขียนบท : Matthew Faulk,Mark Skeet
ดารานำแสดง : Reese Witherspoon,Romola Garai และ Jonathan Rhys Meyers
 รางวัลที่ได้รับ :  ได้รับการเสนอเข้าชิง 3 รางวัล และชนะเลิศ 1 รางวัล
--
ภาพยนต์เรื่องนี้สร้างจากเค้าโครงเรื่องของนวนิยายชื่อเีดียวกันของ William Makepeace Thackeray โดยนวนิยายเรื่องนี้เคยถูกนำมาสร้างเพื่อฉายทางทีวีแล้ว แต่ว่าในเวอร์ชั่นของผู้กำกับสาวมิร่า แนร์นี้ มีการปรับเปลี่ยนบทของตัวละครหลักคือ เบกกี้ ชาร์ปหลายอย่าง

Vanity Fair เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษในช่วงปี 1802 หนังเล่าเรื่องราวของเบกกี้ (Reese Witherspoon) หญิงสาวผู้ซึ่งมีความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด หน้าตาสวยงาม เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อยกระดับตัวเองให้เทีียมหน้าตาผู้คนในสังคม แต่ด้วยต้นทุนที่ำต่ำเพราะทั้งกำพร้าและยากจน จึงต้องผ่านเรื่องราวที่ท้าทายต่างอีกมากมายกว่าจะถึงวันนั้น