วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Diary of a Wimpy Kid (2010) : ช่วงชีวิตที่ถูกมองว่าเป็นเด็กไม่เอาถ่าน


Diary of a Wimpy Kid (2010)
เรต :PG เวลาฉาย : 94 นาที ประเภท : Comedy | Family
ผู้กำกับ : Thor Freudenthal

บทประพันธ์/เขียนบท: Jackie Filgo,Jeff Filgo
ดารานำแสดง : Zachary Gordon,Robert Capron,Chloe Grace Moretz และ Racheal Harris
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิง 7 รางวัล & ชนะเลิศ 3 รางวัล ดูรายละเอียด
--
หนัง เรื่องนี้มีประโยควรรคทองอยู่ประโยคหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนความคิดเสีย ใหม่ี่จากที่เคยคิดว่าหนังเด็กเป็นหนังไม่มีสาระอะไร ดูเพลินๆไปก็แค่นั้น ประโยคนี้เป็นคำพูดท้ายเรื่องที่สื่อความหมายได้ว่า "เมื่อเราโตขึ้นเราอาจจะมองว่าเรื่องปัญหาของเด็กๆ เกี่ยวกับเพื่อนหรือที่โรงเรียน เป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับเด็กในวัยนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นชีวิตของพวกเขาเลย" นี่เป็นจุดสำคัญว่าทำไมผู้ปกครองส่วนใหญ่ถึงเข้าไปไม่ถึงโลกของเด็กๆ

Diary Of A Wimpy Kid เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่กำลังจะ้ก้าวสู่วัยรุ่นชื่อ เกร๊ก เฮฟรี่ (Zachary Gordon) เขาเพิ่งจนพ้นการเรียนระดับประถมเข้าสู่มัธยม ซึ่งก่อนจะพบกับเหตุการณ์จริงในโรงเรียนก็ถูกพี่ชายจอมซ่าส์ขาร๊อค รอดดิ๊ก เฮฟวี่ (Devon Bostick) ทั้งขู่ทั้งกดดันว่าชีวิตในชั้นเรีียนมัธยมน่ะแสนจะโหดร้าย รับรองนายอยู่ได้ไม่ถึงเทอมแน่ๆ

แต่หนุ่มน้อยเกร๊กแม้จะตัวเล็กแต่ ใจเด็ดไม่หวาดหวั่นประการใด แถมยังตั้งเป้าว่า จะพิชิตตำแหน่งมิสเตอร์ป๊อปปูล่าร์ที่สุดในชั้นเรียนให้ได้ปลายเทอมอีกด้วย เกร๊กมีเพื่อนสนิทเป็นคู่หูคนหนึ่งชื่อว่า โรวลี่ เจฟเฟอสัน (Robert Capron) เขามีรูปร่างอวบอ้วน แถมยังมีนิสัยเหมือนเด็กซึ่งเกร็กต้องคอยสอนอยู่เรื่อยๆ เรื่องการปฎิบัติตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น(เอ่อ หนูเพิ่งเรียนมัธยมนะ +_='')

เขา เริ่มเขียนไดอารี่ประจำวันเนื่องจากมีความฝันว่า เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสีียงในอนาคต เมื่อมีนักข่าวมาถามถึงประวัติในวัยเด็กของเขา ก็จะได้ยื่นสมุดไดอารี่เล่มนี้ให้ซะเลย ไม่ต้องเสียเวลาตอบให้มากความ ดังนั้นเขาจึงต้องบอกให้รู้กันซะก่อนนะว่า "นี่ไม่ใช่ diary แต่มันคือ journal!" (แม้จะต้องกำชับกับแม่ว่าห้ามซื้อสมุดบันทึกที่มีปกเขียนว่า "ไดอารี่"มาให้) นี่คือที่มาของหนังเรื่องนี้

เมื่อเข้าเรียนชั้น มัธยมจริงๆ เขาพบว่ามีสิ่งต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้อย่างมากมาย รวมถึงเพื่อนในชั้นเรียนที่มีนิสัยต่างๆ กันด้วย ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยแองจี้ (Chloe Moretz) ที่อยู่ในชมรมนักข่าวมักจะถ่ายภาพเขาตอนทำเรื่องน่าอายลงวารสารของโรงเรียน เป็นประจำ , ชีรัค(Karan Brar) ผู้มีร่างเล็กแคระแกร็น ซึ่งเป็นคนเล่าเรื่องตำนานชีสต้องคำสาปให้ฟังว่า ถ้าใครเผลอไปแตะเจ้าชีสแผ่นนี้ นักเรียนทั่วโรงเรียนจะรังเกียจ และพากันหลบหน้า แต่เจ้าชีสนี้เองภายหลังเป็นตัวพิสูจน์ความกล้าหาญให้กับเกร็กจนเรื่องราว ทั้งหลายจบได้อย่าง Happy Ending

เรื่องราวของเกร็กยังมีอีกมากมาย ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้รู้จักคำว่ามิตรภาพและเพื่อนแท้ สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด สุดท้ายได้เรียนรู้ว่า ชีวิตวัยเรียนมันก็แค่ช่วงวัยหนึ่งเท่านั้นแหล่ะ แล้วมันก็จะผ่านไป สิ่งที่เก็บเกี่ยวไว้กับวันเวลาควรจะเป็นเรื่องราวที่ดีๆเ่ท่านั้น

ฉัน ดูหนังเรื่องนี้ไปพร้อมกับนึกถึงชีวิตในวัยเรียนของตัวเอง ไม่ต่างกับเกร็กที่สมัยนั้นทะเลาะกับเพื่อนบ้าง งอนกันบ้าง ด้วยเรื่องไร้สาระ หรือเข้าใจผิดกัน พอวันนี้โตขึ้นถึงได้เข้าใจว่า ทำมิตรภาพระหว่างเพื่อนหล่นหายไปกลางทาง วันนี้แม้อยากจะกลับไปขอโทษกับเพื่อนบางคน ก็ยากเสียแล้ว เพราะต่างคนต่างก็มีชิีวิตของตัวเอง ทำให้ไกลห่างกันไป จนต่อกันไม่ติดเสียแล้ว ...

--Diary of a Wimpy Kid (2010) : Movie Trailer

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น