วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The Help (2011) : เจ้านายตัวดี กับสาวใช้ตัวดำ





The Help (2011) : เจ้านายตัวดี กับสาวใช้ตัวดำ ความยาว 146 นาที ประเภท Drama คะแนนจาก IMDb 8.0 ผู้กำกับ : Tate Taylor เนื้อเรื่อง/เขียนบท : Tate Taylor (เขียนบท), Kathryn Stockett (นวนิยาย) ดารานำแสดง: Emma Stone, Viola Davis และ Octavia Spencer รางวัลที่ได้รับ : ชนะเลิศรางวัล Oscarและอื่นๆ 42 รางวัล,ได้รับการเสนอเข้าชิง 63 รางวัล --


ช่วงนี้ฉันได้มีโอกาสชมภาพยนต์หลายๆ เรื่อง แต่ภาพยนต์เหล่านั้นยังไม่สร้างแรงบันดาลใจให้มากพอที่จะลุกขึ้นมานั่งเขียนถึง เหมือนภาพยนต์เรื่องนี้ ที่พอได้ดูจบแล้วรู้สึกอยากเขียน อยากแบ่งปันให้กับทุกคนได้มีโอกาสชมกัน แม้ว่าจะเป็นภาพยนต์ดราม่าที่ดูอาจจะไม่บันเทิงสำหรับหลายๆคนนัก แต่ฉันเชื่อว่าเมื่อคุณๆ ได้ชมแล้ว ก็อาจจะรู้สึกเหมือนกันกับฉันที่อิ่มเอม เติมเต็ม สั่นสะเทือนและเกิดแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น 

ภายนต์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกัน ซึ่งได้รับรู้มาว่ากว่าจะถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือ ผู้เขียนต้องถูกปฏิเสธถึง 20 ครั้ง >.< แต่เธอก็ยังมีความเพียรพยายามส่งให้สำนักพิมพ์อื่นๆต่่อไปจนกระทั่งประสบความสำเร็จถูกตีพิมพ์ในที่สุด นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ เปรียบดังเช่นตัวละครหลักเรื่องนี้ที่บากบั่นฝ่าพันทำในสิ่งที่เชื่อ และพิสูจน์มันให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงสิ่งที่เป็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งที่ผู้คนในยุคนั้นพยายามมองผ่านไป



เรื่องราวในภาพยนต์เกิดขึ้นในปี 1960 ที่มิสซิสซิปปี้ เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ยังคงมีวัฒนธรรมแห่งการเหยียดสีผิวอยู่ ครอบครัวคนผิวขาวทุกบ้านมักจะจ้างคนรับใช้เป็นหญิงผิวดำ ซึ่งพวกเธอส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่สืบทอดอาชีพนี้มาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งสืบค้นไปไกลๆ ก็จะพบกว่า เธอทาสในเรือนนั่นเอง การร่วมกันในของนายและบ่าวนั้นก็แบ่งแยกชนชั้นชัดเจน จะไม่มีการใช้สิ่งของร่วมกัน แม้กระทั่งห้องน้ำในบ้าน ก็ยังรังเกียจที่จะให้สาวใช้ผิวสีใช้ร่วมด้วย แต่ถึงกระนั้นพวกนายๆ ก็อาศัยพวกสาวใช้ดูแลเลี้ยงดูลูกๆ ของพวกเขานั่นเอง และที่น่าขันคือ พอเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้น ก็กลายมาเป็นนายจ้างของแม่นมนั้น แถมยังกดขี่เช่นเดียวกันกับแม่ๆ ที่เคยทำกับสาวใช้ในสมัยพวกเขายังเด็ก

 เมื่อหญิงสาวนาม สกีเตอร์ (Emma Stone) ที่เพิ่งเรียนจบวิทยาลัยในเมืองกลับมายังเมืองแห่งนี้ สกีเตอร์เป็นหญิงสาวที่มีความมั่นใจในตัวเอง ตรงไปตรงมา และมีความคิดค่อนข้างแปลกแยกจากสาวๆ รุ่นกันในยุคนั้น เธอมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขีียน และเมื่อกลับมาเมืองนี้ สิ่งแรกที่เธอทำคือ สมัครงานในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แม้ประสบการณ์ของเธอยังไม่เข้าตาหัวหน้ากองบก แต่ว่าโชคยังเข้าข้างเนื่องจากขณะนั้นตำแหน่งนักเขียนคอลัมน์ตอบปัญหางานบ้านขาดอยู่ เธอจึงได้รับเสนอให้ทำหน้าที่เขียนคอลัมน์นี้แทนไปก่อน และด้วยใจรักการเขียน รวมถึงการได้เข้ากลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่ตอนนี้ต่างมีครอบครัวกันไปหมด ซึ่งทุกคนก็จ้างสาวใช้ผิวดำไว้ทำงานในครอบครัวกันทุกคน สกีเตอร์มองเห็นลึกไปกว่าสิ่งคนวัยเดียวกันมองเห็น นั่นคือ การที่บรรดาชาวใช้ตัวดำถูกกระทำจากนายจ้างตัวดี แต่พวกเธอต้องจำทนโดยไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นเิปิดปากพูด เธอจึงรวบรวมบรรดาสาวใช้ผิวสีและอาสาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้พบเจอในชีวิตประจำวัน โดยผ่านงานเขียนของเธอ.. 

หนังเล่าเรื่องให้เราเห็นความอคติในใจคนที่แบ่งแยกกันชัดเจนด้วยสีผิวได้อย่างชัดเจน และสั่นสะเทือนอารมณ์ ที่ดูไปก็อดคิดไม่ได้ว่า เพียงแค่สีผิวที่แตกต่างกัน ทำให้คนเราแบ่งแยกคนที่มีสปีชี่ส์เดียวกันออกจากกันได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ไม่รวมถึงแนวคิดประเภทพวกมากลากไปที่ทำให้รุมเกลียดชังอีกฝ่ายได้อย่างหมดใจ เพียงเพราะพวกเขามีสีผิวแตกต่างจากตนเท่านั้นเอง แต่หนังก็ไม่ได้ดราม่าเศร้าเคร้าน้ำตาไปเสียทั้งหมด ยังมีฉากตลกร้ายหลายๆฉากให้เราได้ยิ้มมุมปากได้เรื่อยๆ อีกด้วย

 สำหรับความรู้สึกของฉันที่มีต่อหนังเรื่องนี้ ก็อย่างที่ฉันเคยเขียนบอกบ่อยๆว่า การดูหนังของฉันคิอการเดินทางท่องเที่ยว ดังนั้น สิ่งแรกที่จะประทับใจฉันได้เป็นสิ่งแรกคือ ฉาก ฉันหลงไหลฉากชนบทในยุค 1960 นี้เสียจริงๆ โดยเฉพาะบ้านของนางเอกของเรา ที่มีต้นวิลโลว์อยู่หน้าบ้าน มีทางเดินแคบๆ เวลานางเอกมีปัญหาในใจเธอจะไปนั่งที่นั่น รวมถึงภาพในวัยเยาว์ที่เธอและคนใช้ผิวดำที่คอยสั่งสอนเธอยามเธอถูกล้อเลียนจากเพื่อนว่า " ในแต่ละวันเราล้วนแต่ตัดสินใจทุกวัน แล้วเราจะตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อคำพูดแย่ๆ ที่คนเหล่านั้นพูดถึงเรา หรือเราจะเลือกเืชื่อมั่นในตัวเอง" ** ฉันจำได้คร่าวๆ มาแค่นี้ อาจจะมีผิดตกหกหล่นบ้่าง >.<

 นอกจากนั้นฉันประทับใจในความสัมพันธ์ของตัวเอกสองตัวอย่าง สาวผิวเอบี้ กับ มินนี่ ที่ช่วยหลือกัน ดูแลกัน และซึ้งใจจนน้ำตาไหลในฉากท้ายๆ ที่เธอบอกว่า เธอจะเป็นคนดูแลเอบี้ และเอบี้ก็จะดูแลเธอไปตลอดชีวิต T^T ซึ้งอ่ะ ฉันว่าเป็นสิ่งวิเศษที่สุด ถ้าหากเรามีเพื่อนแท้สักคน เพื่อนจะไม่ทิ้งเรา และคอยอยู่ข้างๆ เราไปตลอดแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

 สุดท้ายแล้วสิ่งที่ฉันได้คิดจากหนังเรื่องนี้ คงเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ของอเมริกาที่ทำให้ฉันตะหนักว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ พวกเขาผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมายไม่แพ้กับชนชาติอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องการเหยียดสีผิว สงคราวระหว่างสีผิว และกว่าจะชนผิวสีจะต่อสู้ฝ่าฟันจนได้รับการยอมรับว่ามีสิทธิ์มีเสียง มีคุณค่าเท่ากับคนผิวขาว อย่างในปัจจุบัน ---


The Help (2011) - Official Trailer [HD]


ขอแถม เพลงประกอบที่เพราะมากๆthe living proof  - mary j blige

2 ความคิดเห็น :

  1. หนังเขาดีจริงครับ แม้ว่าในฐานะผู้ชายจะพบว่าหนังออกจะผู้หญิ๊งผู้หญิง และค่อนข้างเดินเรื่องอืดๆ ไปบ้างก็ตาม ฉากที่ผมชอบมากคือตอนจบที่ viola เดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับเพลง the living proof ซึ่งผมก็เล็งอยู่ตั้งนานว่าเธอจะมีว่อกแว่กหันซ้ายหันขวาหรือมองกลับมามั้ย แต่เธอมุ่งมั่นเดินหน้ามากครับ ไม่หันไปไหนเลย อิอิ

    ตอบลบ
  2. ค่ะ หนังดีมากๆ เลย ตอนแรกคิดว่าจะดราม่่าน้ำตาไหลพรากเสียอีก จดๆจ้องๆ ไม่กล้าดูอยู่ตั้งนานอ่ะค่ะ แต่ดูแล้วชอบมากๆเลย ^^

    ตอบลบ