วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

The Return (2003) : การกลับมาของใครบางคน ...ไม่ใช่เพียงแค่การกลับมาเท่านั้น


The Return (2003)
หนังรัสเซีย (Russian Movies :Vozvrashchenie -original title)
ความยาว : 105 นาที ประเภท : Drama
ผู้กำกับ : Andrei Zvyagintsev
เนื้อเรื่อง/เขียนบท : Vladimir Moiseyenko, Aleksandr Novototsky
ดารานำแสดง : Vladimir Garin, Vanya Dobronravov และ Konstantin Lavronenko
รางวัลที่ได้รับ :ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล Golden Globe.และอื่นๆ 12 รางวัล & ชนะเลิศ 28 รางวัล ดูรายละเอียด
--

การกลับมาของคนบางคนที่เราคาดไม่ถึง บางครั้งก็อดย้อนถามไม่ได้ว่า "กลับมาทำไม ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างตอนที่ไม่มีเธอก็ดีอยู่แล้ว" แต่เชื่่อเถอะว่า ทุกครั้งที่ใครบางคนกลับมานั่นไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะมันจะนำพาบางสิ่งกลับมาให้เราด้วยเสมอ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะเก็บอะไรได้จากการกลับมานั้น ...

The Return เป็นภาพยนต์รัสเซียที่เล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องวัย 13 และ 12 ตามลำดับกับพ่อที่เพิ่งกลับมาหลังจากห่างหายไปกว่าสิบปี โดยเด็กชายทั้งสองอาศัยอยู่กับแม่ และย่าในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัสเซีย แต่แล้ววันหนึ่งพ่อที่ไม่เคยได้พบเจอเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขาได้กลับมา ด้วยเหตุที่แม่อยากให้พ่อและลูกๆ ได้ทำความคุ้นเคยกัน จึงเสนอให้พวกเขาสามคน ออกไปใช้เวลาช่วงวันหยุด 7 วันด้วยการตั้งแคมป์ ตกปลา บนเกาะที่ห่างไกลออกไป




สองพี่น้อง อังเดร (Vladimir Garin) พี่ชายอายุ 13 เขาเป็นคนหัวอ่อน มักจะทำตามในสิ่งที่ผู้อื่นบอกเสมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนที่ฉากหนึ่งพวกกลุ่มเพื่อนล้อเลียนน้องชายอีวานว่าเป็นไก่อ่อน เนื่องจากไม่กล้ากระโดดน้ำลงจากหอคอยสูง อังเดรก็ยอมทำตาม ซึ่งตรงกันข้ามกับน้องชาย อีวาน (Vanya Dobronravov ) เขาเป็นเด็กที่เงียบๆ ดูขี้อาย ขี้กลัว แต่ภายในเต็มไปจิตใจที่แข็งกร้าว กบถต่อสิ่งที่เขาไม่เห็นชอบด้วย ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในฉากหลังๆ

วันหนึ่งพวกเขากลับมาจากโรงเรียน และได้รับรู้ว่า พ่อ (Konstantin Lavronenko) ที่ห่างหายไปจากวงจรชีวิตของพวกเขานานนับสิบปีนั้นกลับมาแล้ว เด็กชายวัยรุ่นทั้งสองเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายประทุอยู่ภายในใจ แม้จะรู้สึกสับสนแต่อังเดรก็พยายามที่จะเข้ากับพ่อให้ได้ ดังนั้นเมื่อพ่อบอกอะไรเขาจึงพยายามทำตาม ในขณะที่อีวานเต็มไปด้วยความกังขา เขาไม่เชื่อว่าพ่อที่กลับมาจะเป็นพ่อจริงๆของเขา เพื่อพิสูจน์ความคิดนี้ เขาถึงกลับไปค้นหารูปถ่ายสมัยก่อนของพ่อมาดู

แม้จะผ่านข้อพิสูจน์ว่าคนในรูปสมัยเขาเด็กๆ เป็นคนเดียวกับคนที่ยืนตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม แต่อีวานก็ยังคงไม่ยอมรับ เด็กชายจึงต่อต้านทุกวิถีทาง แต่ยิ่งต่อต้าน พ่อที่เพิ่งมาก็ยิ่งแสดงบทลงโทษให้แก่เขา ปฏิกริยาที่สองทั้งพ่อลูกตอบโต้กันจึงยิ่งสร้างกำแพงขวางความสัมพันธ์ระหว่างกันสูงและหนาขึ้นทุกที อีวานนั้นพาลคิดไปว่า พ่อกลับมาเพียงเพื่อจะทรมานพวกเขา เพราะว่าพ่อนั้นไม่เคยรักพวกเขาเลย ถึงได้ทิ้งพวกเขาไป ..

ช่วงเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันจันทร์ที่พ่อมา จนวันอังคารที่พวกเขาเริ่มเดินทางไปเกาะที่ห่างไกล และใช้เวลาร่วมกันจนถึงวันเสาร์นั้นจึงเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ระหว่างพ่อลูกทั้งสามคน อังเดรกับพ่อเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น พวกเขาใช้เวลาร่วมกันในป่า พ่อสอนเขาได้เรียนรู้ตามประสาผู้ชายหลายอย่าง ส่วนอีวานผู้มีเบื้องหลังกับการกลับมาของพ่อ และเต็มไปด้วยอคติที่บดบังใจเขาต่อต้านที่จะร่วมกิจกรรมที่พ่อบอก หรือหากต้องทำก็จะป่วน ไม่เช่นนั้นก็จะกลั่นแกล้งให้ข้าวของเสียหายอยู่เนืองๆ

จนในวันท้ายๆ ได้เกิดเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เป็นจุดหักเหของเรื่องนี้ เหตุการณ์แรกเป็นเหตุการณ์ที่พ่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่มีการให้นัยยะว่า เขาทำไปเพื่ออะไร ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ชมที่ครุ่นคิดเองว่า สิ่งที่เขาทำนั้นทำเพื่อคนที่เขารัก หรือ ทำเพื่อตัวเอง? ซึ่งผลลัพธ์ของมันในสองแง่มุมก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน

ส่วนเหตุการณ์ที่สองเป็นโศกนาฏกรรมของความไม่เข้าใจ และคติที่บดบังจนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น และเหตุการณ์นี้ทำให้การกลับมาของพ่อในครั้งนี้ เป็นการก้าวข้ามความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยมีต่อพ่อ และมันคงประทับอยู่ในใจพวกเขาไม่ลืมเลือนอย่างแน่นอน....


--
ฉันได้รู้จักหนังเรื่องนี้จากคนรักการดูหนังหลายๆคนบอกว่าเป็นหนังที่ดี และถ่ายภาพสวย แน่นอนว่าในข้อสองนี้ฉันเองก็รับรู้ได้ตั้งแต่เริ่มหัดชมภาพยนต์รัสเซีย เพราะสิ่งนี้คือ เสน่ห์ประการหนึ่งของอุตสาหกรรมภาพยนต์ประเทศนี้ เป็นภาพสวยที่แตกต่างจากฝั่งฮอลลีวู้ดอาจจะเป็นด้วยโลเกชั่นที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นแสง สี โืทนของหนังจึงออกมาดูสวยงามแปลกตาต่างออกไป

ส่วนในแง่ของตัวหนังเอง เมื่อได้ชมจบแล้วก็เห็นด้วยที่ว่าเป็นหนังที่ดี และทำให้เห็นอะไรบางอย่างที่สะท้อนออกมาจากตัวละครในเรื่อง ฉันเชื่อว่าโดยส่วนใหญ่พวกเราในวัยเยาว์ล้วนได้ผ่านประสบการณ์ที่คล้ายๆ กับอังเดรและอีวาน แม้ว่าเราจะอยู่กับพ่อมาตลอดตั้งแต่เกิด และพ่อไม่ได้จากไปไหน แต่ว่าสิ่งที่คล้ายคลึงกันคือ การพยายามที่ก้าวผ่านความกลัว และเข้าให้ถึง "พ่อ" ซึ่งอาจจะเป็นตัวบุคลลิกของผู้ชาย ที่แม้จะรักลูกแค่ไหน แต่การแสดงออกให้เรารู้ก็ยังทำได้ไม่เต็มที่ ในวัยเด็กส่วนใหญ่เราจึงสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ

อีกข้อคิดหนึ่งที่ได้จากเรื่องนี้คือ "อคติ" นี่ร้ายกาจเกินกว่าที่เราคาดคิด เพราะมันเป็นเหมือนเงามืดที่มาบดบังดวงจันทร์จนไม่อาจที่พระจันทร์จะส่องแสงให้ความสว่างออกมาได้ นี่ขนาดดวงจันทร์ นับประสาอะไรกับใจคน เมื่อใจคนเรามืดมน ย่อมมองไม่เห็นสิ่งที่ดีงามใดๆ ทั้งสิ้น บิดบังทุกสิ่งทุกอย่าง บางอย่างที่มีข้อจำกัด เพราะมันผ่านแล้วผ่านเลย ไม่มีทางกลับมาแก้ตัวขอโอกาสได้อีกครั้ง





******************

2 ความคิดเห็น :

  1. -อืม... เหมือนเนื้อหาในรีวิวนี้จะซ้ำกันสองเด้งหรือเปล่าครับ :)
    -เรื่องนี้เห็นหลายคนชื่นชม แ่ต่ผมก็ยังไม่ได้ดู (ตามฟอร์ม)
    -ส่วนย่อหน้าสุดท้ายนั้นผมทราบแล้วเปลี่ยนจ้า ^^

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณที่แจ้งเตือนค่ะ :) พอดีพิมพ์ที่อื่นแล้ว copy มาแปะ 5555 แล้วไม่ได้ดูให้ดี

    ตอบลบ