วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

The Tree Of Life (2011) : แก่นสารของชีวิต


The Tree of Life (2011)
เรท :PG_13 ความยาว : 139 นาที ประเภท: Drama
ผู้กำกับ :Terrence Malick
เนื้อเรื่อง/เขียนบท : Terrence Malick
ดารานำแสดง : Brad Pitt, Sean Penn และ Jessica Chastain
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับการเสนอเข้าชิง 3 รางวัล & ชนะเลิศ 4 รางวัล ดูรายละเีอียด

--
หนังเรื่องนี้เขียนบท และกำกับโดย Terrence Malick ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่สร้างงานออกมาได้ติสต์มาก อาจด้วยความเป็นนักปรัชญา นักคิดของเขา ทำให้เมื่อสร้างงานภาพยนต์ก็ได้ระบายมันออกมาที่งานนั้นด้วย ฉันเคยอ่านว่าเขาหายจากวงการไปนาน เข้าใจว่าไปเก็บตัวเพื่อขบคิดถึงสาระของชีวิต พอกลับมาก็ผลิตงานชิ้นนี้ The Tree Of Life ที่รู้ักันว่าสอดแทรกปรัชญาชีวิตไว้เยอะมาก เยอะจนคนดูอาจจะงง และตามไม่ทัน (ฉันเป็นหนึ่งในนั้น >.<)

หนังเรื่องนี้เข้าใจว่าผู้กำกับนับถือศาสนาคริสต์เลยพยายามอธิบายความลึกซึ้งของชีวิตด้วยการนำหลักการในศาสนามาสอดแทรก อ้างอิง แต่ในฐานะที่ฉันนับถือศาสนาพุทธที่มีความรู้เรื่องศาสนาอื่นน้อย จึงไม่อยากตีความอะไรเกรงว่าจะผิดพลาด ดังนั้นทัศนะของฉันจึงอาจจะปนๆ กันทั้งสองศาสนาตามความเข้าใจของฉันเป็นหลัก



--
The Tree Of Life
เิริ่มต้นเรื่องด้วยประโยคที่ว่า "หนทางชีวิตของคนเรามีทางเลือก 2 ทางที่เราจะต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง หลังจากนั้นมันก็จะนำทางชีิวิตของเราไปจนกว่าจะตาย ทางแรกคือ หนทางแห่งความดี (พระเจ้า หรือนัยยะคล้ายกันในศาสนาอื่น) และ หนทางแห่งธรรมชาติ (กิเลศ,ตามใจตัวเอง)

หนังเล่าเรื่องราวของครอบครัว O'Brien ในเท็กซัส ยุคปี 1950 Mr.O'Brien ( Brad Pitt) และภรรยาMrs. O'Brien (Jessica Chastain) พวกเขาเริ่มต้นครอบครัวด้วยความรักความเข้าใจ ใช้ชีวิตร่วมสักระยะหนึ่งก็เริ่มมีลูกชายคนแรก Jack (ตอนเด็ก) เป็นเด็กน่ารัก หนังเล่าให้เราเห็นถึงพัฒนาการของเด็กชายคนหนึ่งที่เกิดมาด้วยความบริสุทธิ์ แต่เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น เด็กที่เหมือนผ้าขาว เริ่มซึบซับอารมณ์ ความรู้สึกด้านลบ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับผ้าขาวที่เปื้อนสิ่งสกปรกต่างๆ แจ็คเริ่มรู้สึกว่าพ่อไม่รักเขา แม่เองก็รักลูกไม่เท่ากัน โดยเฉพาะเมื่อมีน้องชาย เพิ่มขึ้นอีก 2 คน คือ Steve และ R.L ยิ่งทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เขารู้สึกอิจฉาน้อง

Mr.O'Brien นั้นทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องบิน เขาเป็นคนที่มีระเบียบ เจ้าอารมณ์ มีแนวคิดแบบวัตถุนิยม เขาพยายามสั่งสอนลูกให้มีระเบียบวินัย หลายครั้งที่เขาบอกลูกชายทั้งสามว่า "อย่าทำในสิ่งที่ฉันทำ" แม้ว่าจะรักลูกแต่เขาก็สื่อสารได้ไม่ดี เมื่อลูกชายเติบโตขึ้นเข้าสู่วัยรุ่นจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ และพาลโกรธเกลียดเขา มีฉากหนึ่งที่ Jack คิดทำนองว่า พ่อเป็นคนไม่ดี อยากให้พ่อตายๆ ไปซะ (อันนี้ก็สื่อให้เห็นถึงความเข้าใจของเขาที่ว่า ถ้ามีผู้อยู่เบื้องหลังที่สามารถจัดการสิ่งต่างๆได้จริง ทำไมไม่จัดการเรื่องนี้)

Jack จึงเปรียบเสมือนคนที่กำลังอยู่ในระหว่างตรงกลางระหว่างหนทางทั้ง 2 ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะเชื่อ หรือไม่เชื่อดี อะไรเป็นสาระของชีวิตที่แท้จริง ความดี ความชั่ว ศาสนา ฯลฯ หลายครั้งที่โกรธเกรี้ยวพ่อ และมาลงกับน้อง และอีกหลายๆ ครั้งที่เขาสับสนว่า พระเจ้า หรือความดีจริงๆ มันมีไหม ทำไมถ้ามีทำไมถึง ทำดีไม่ได้ดี หรือ ทำไมคนที่ทำชั่ว (ตามที่เขาคิด ) จึงไม่ได้รับผลกรรมนั้น

ในวันหนึ่งขณะที่ทั้งครอบครัวไปว่ายน้ำที่สระภายในหมู่บ้าน มีเด็กคนหนึ่งจมน้ำตาย นั่นเป็นครั้งแรกที่ Jack ได้เรียนรู้ว่าสัจธรรมอีกของชีวิต ความพลัดพราก ความตาย นี่ก็ทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นมาอีก เขาถามแม่ว่า "เด็กคนนั้นเป็นคนไม่ดีเหรอ ทำไมเขาถึงตาย แล้วทำไมคนอายุไม่เยอะถึงตาย?" ฉันคิดว่า Jack มาถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าหากเขาได้เจอผู้รู้ เขาจะค้นพบสิ่งที่พิเศษมากๆ แต่ในหนัง Jack เพียงแค่ถามกับตัวเอง เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า รำพึงไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ไหมเนี่ย อยากรู้คำตอบก็ต้องแสวงหาคำตอบสิเนอะ

มีอีกหลายครั้งที่ Jack ทดสอบระหว่างความดี กับความชั่ว อาทิ ในฉากหนึ่งเขาเล่นปืนลมกับน้องชาย เขาบอกให้น้องใช้นิ้วอุดที่ปากกระบอกปืน เขารับปากว่าจะไม่ยิง ซึ่งน้องชายในฐานะตัวแทนของความดีนั้นเชื่อใจพี่ชาย แต่เมื่อน้องชายทำตาม เขากลับยิงปืนลมนั้นออกมา แต่ผลที่เกิดจากเหตุการณ์นั้น กลับเป็นตัวเขาเองที่ทุกข์ใจ จนต้องมาขอโทษน้องในวันต่อมา เรื่องนี้ก็ทำให้รู้ว่าในที่สุดแล้วความดีก็จะชนะทุกสิ่ง เพียงแต่การคนเราจะต้องเลือก และมันไม่ง่ายอย่างที่เขาบอกว่า คนดีทำดีง่าย ทำชั่วยาก คนชั่วทำดียากนั่นเอง ทำชั่วง่าย นี่อันเป็นคำตอบว่าทำไมในเมือคนเรารู้ว่่าหนทางแห่งความดีันั้นเป็นสิ่งดี แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดิน

หนังตัดภาพกลับมาที่ Jack วัยผู้ใหญ่ (Sean Penn) เขาเป็นชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ มีภรรยาสวย หน้าที่การงานดี บ้านหลังใหญ่ แต่เขากลับมีสีหน้าทุกข์ระทมอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับว่าตลอดเวลาจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ของเขา ยังหาคำตอบของหนทางชีวิตไม่ได้ ยังจมจ่อมอยู่กับความสับสนที่ลากยาวมาตั้งแต่วัยเยาว์ ..


--
หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยนัยยะแฝงต่างๆ มากมายที่ผู้กำกับพยายามสอดแทรกเข้ามา ฉันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง และแม้ว่าถึงจะดูไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ต้องยอมรับว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ภาพสวยมาก ทำให้พอดูได้เพลินๆ ไม่น่าเบื่อมากนัก มีหลายคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ ถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลยเหมือนกัน แต่น่าแปลกที่ส่วนสัดของทั้ง 2 กลุ่มอยู่ที่ 50/50 เมื่อฉันเข้าไปอ่่านความเห็นของผู้ที่เคยชมแล้ว ก็เห็นจริงอย่างนั้นเลยแฮะ เพราะมีทั้งคนชมคนด่าเลย

ในความเห็นของฉันเมื่อดูหนังจบ ก็พอรับได้เรื่องแนวคิดนะที่ถกกับสาระของชีวิตอันเป็นเรื่องที่คนเราทุกคนควรจะมีสักครั้งที่ตั้งคำถามแบบนี้ เพราะจะได้รู้ว่าชีวิตควรจะมีแนวทางใดเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต เพียงแต่จุดที่ฉันไม่ชอบในหนังเรื่องนี้คือ การนำจักรวาล โน่นนี่นั่นเข้ามาประกอบ ฉันว่ามันคิดตามยาก จนดูเยอะ และไกลตัวเกินไป

หมายเหตุ : งานเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวที่อาจจะผิด หรือไม่ถูกใจใครก็ได้ ถ้าเผลอมาอ่าน ขอให้เป็นแค่ข้อเขียนสำหรับอ่านเพลินๆ โดยคุณสามารถมองหาความหมายจากหนังได้ เมื่อคุณดูหนังเรื่องนี้ด้วยตัวคุณเอง :)




♥ ♥ ♥ ♥


--
The Tree Of Life Movies Poster

3 ความคิดเห็น :

  1. เป็นหนังดีที่ขอดูแค่ครั้งเดียวพอครับ :)

    ตอบลบ
  2. 555 ไปอ่านในรีวิวของคุณก็ดูเข้าใจผู้กำกับคนนี้ดีไม่ใช่เหรอคะ :P ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ที่ตามดูหลาย ๆรอบหรอกเหรอ อิอิ

    ตอบลบ
  3. อิอิ ผมชอบเรื่องนี้ตรงงานด้านภาพครับ ซึ่งกว่าผมจะดูจบก็ตั้งหลายวันแน่ะ และแม้แต่คนเป็นคริสเตียนก็ยังงงๆ กับหนังเรื่องนี้เลยครับ เพราะหนังแกมีอะไรเยอะแยะ ซึ่งก็อย่างว่าแหล่ะครับ คนที่เข้าใจหนังเรื่องนี้มากที่สุดก็คงไม่พ้นตัวผกก.เองแหล่ะเนอะ (หรือว่าไม่นะ? อิอิ) ;P

    ตอบลบ